วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อคติ

อคติ
                         โดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีกิเลสย่อมจะมีอคติด้วยกันทุกคน  เพราะมนุษย์เราเมื่อจะทำอะไรก็ตาม  มักจะคิดถึงประโยชน์ของตนเอง  ญาติพี่น้อง  หรือพวกพ้องก่อนเสมอ  ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวนี้เป็นสาเหตุทำให้ความไม่ถูกใจอยู่เหนือความถูกต้อง  ความผิดอยู่เหนือความถูก
1.     ความหมายและประเภทของอคติ
                         อคติ  แปลว่า  ทางความประพฤติที่ผิด  หมายถึง  ความลำเอียง  ความไม่ยุติธรรม  หรือความไม่เป็นธรรม  พระพุทธศาสนาแบ่งอคติออกเป็น  
4  ประเภท  ตามพื้นฐานแห่งจิตใจ  คือ
                 1)
    ฉันทาคติ  คือ  ความลำเอียงเพราะรักหรือชอบ  หมายถึง  การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม  หรือการทำให้เสียความยุติธรรม  เพราะอ้างเอาความรักหรือความชอบพอกัน  ฉันทาคติมักเกิดกับตัวเอง  พ่อแม่  ญาติพี่น้อง  เพื่อน  คนใกล้ชิด  และพวกพ้อง  ความรักหรือความชอบที่มีต่อบุคคลเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุให้เรากลายเป็นคนมีอคติได้  เช่น  ถ้าเด็กสองคนทะเลาะกัน  พ่อแม่ของเด็กทั้งสองก็มักจะเข้าข้างลูกของตนเองเชื่อไว้ก่อนว่าลูกของตนเองเป็นฝ่ายถูก  โดยไม่รับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่ง  นี่เป็นความลำเอียงเพราะรัก
                 2)
    โทสาคติ  คือความลำเอียงเพราะเกลียดชัง  ไม่ชอบ  หรือโกรธแค้น  หมายถึง  การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม  หรือการทำให้เกิดเสียความยุติธรรม  เพราะเกลียดชัง  โกรธ  หรือทะลุอำนาจโทสะ  โทสาคติมักจะเกิดกับคนที่เราเกลียดมาก ๆ  เช่น  คู่แข่ง  ศัตรู  หรือคนที่เคยทำให้เราเจ็บใจ  ทำให้เราเสียผลประโยชน์  บุคคลเหล่านี้อาจมีส่วนทำให้เราเป็นคนลำเอียงได้โดยไม่รู้ตัว  เช่น  ถ้าทหารทะเลาะกันกับตำรวจ  คนขับรถรับจ้างมักจะเข้าข้างทหารไว้ก่อน  เพราะคนขับรถถูกตำรวจเขียนใบสั่งบ่อย ๆ  นี่เป็นความลำเอียงเพราะไม่ชอบหน้ากัน
                 3)
    โมหาคติ  คือ  ความลำเอียงเพราะความไม่รู้  ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ความหลงผิด หรือความเขลา  หมายถึง  การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม  หรือการทำให้เสียความยุติธรรมเพราะความไม่รู้  โมหาคติมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ  เนื่องมาจากความสะเพร่า  ความไม่ละเอียดถี่ถ้วน  รีบตัดสินใจโดยยังมิได้พิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน  จึงเป็นสาเหตุทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก  คนถูกกลายเป็นคนผิด  ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้  เช่น  ผู้ชายสองคน  คนหนึ่งแต่งตัวดี  ดูภูมิฐาน  หน้าตาหล่อเหลา  อีกคนหนึ่งนุ่งกางเกงยีนส์เก่า ๆ  เสื้อผ้าขาด ๆ  ดูโทรม ๆ  ไม่น่าไว้วางใจ  คนเฝ้าบ้านไว้ใจผู้ชายคนแรกมากกว่าผู้ชายคนหลัง  และยอมเปิดประตูบ้านให้เข้าไปนั่งในห้องรับแขก    ผู้ชายคนดังกล่าวกลายเป็นโจรผู้ร้าย  นี่เป็นความลำเอียงเพราะความเขลา
                 4)
    ภยาคติ  คือ  ความลำเอียงเพราะความกลัว  หมายถึง  การทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม  หรือการทำให้เสียความยุติธรรม  เพราะมีความหวาดกลัว  หรือเกรงกลัวภยันตราย  ความกลัวมีหลายรูปแบบ  เช่น  ความกลัวภัยอันตรายมาถึงตนหรือครอบครัว  กลัวเสียหน้า  กลัวคนเกลียด  กลัวจะได้สิ่งที่ไม่ต้องการ  เป็นต้น  ความกลัวเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราปฏิบัติหน้าที่ด้วยความลำเอียง  เช่น  ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคน  คนหนึ่งเป็นลูกของพ่อค้าขายของชำ  อีกคนหนึ่งเป็นลูกเจ้าพ่อมีอิทธิพลเลี้ยงนักเลงไว้มาก  ทั้งสองคนทำผิด  คนแรกถูกผู้บังคับบัญชาไล่ออกจากงาน  ส่วนคนหลังยังคงทำงานต่อไป  ไม่มีการลงโทษใด ๆ นี่เป็นความลำเอียงเพราะหวาดกลัวอิทธิพลมืด2. แนวทางปฏิบัติเพื่อชีวิตและสังคม
                         มนุษย์เราชอบความยุติธรรม  รักความซื่อสัตย์  และเกลียดชังความลำเอียง  แต่การที่เราจะสร้างความยุติธรรม  ความซื่อสัตย์  และหลีกเลี่ยงความลำเอียงได้นั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก  วิธีเดียวที่ทำได้  คือ    การฝึกฝนจิตใจให้หนักแน่น  โดยยึดหลัก  การเอาใจเขามาใส่ใจเรา  เราเกลียดชังความลำเอียงหรือความอยุติธรรมอย่างไร  คนอื่นก็เกลียดชังความลำเอียง  ความอยุติธรรมเช่นเดียวกับเรา อย่างไรก็ตาม  วิธีแก้ไขข้ออคติแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นก็สามารถทำได้เช่นกัน  ดังนี้

          1.  ฉันทาคติ  แก้ไขโดยการฝึกทำใจให้เป็นกลาง  โดยการปฏิบัติต่อทุกคนให้เหมาะสมเหมือนกัน  ต้องไม่ประมาท  ไม่เผลอ  และต้องมีสติอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรกับใคร
          2.  โทสาคติ  แก้ไขโดยการทำใจให้หนักแน่น  ใจเย็น  ไม่วู่วาม  รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และพยายามแยกเรื่องส่วนตัวกลับเรื่องงานออกจากกัน
          3.  โมหาคติ  แก้ไขได้โดยการเปิดใจให้กว้าง  ทำใจให้สงบ  มองโลกในแง่ดี  ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น  และต้องศึกษาสิ่งที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องให้ดี
          4.  ภยาคติ  แก้ไขได้โดยการพยายามฝึกให้เกิดความกล้าหาญ  โดยเฉพาะความกล้าหาญทางจริยธรรม  คือ  กล้าคิด  กล้าพูด  และกล้าพูดในสิ่งที่ดีงาม
   
อคติ                “…ท่านทั้งหลายในที่นี้ล้วนแต่มีตำแหน่งหน้าที่อันสูง อยู่ในการงานของแผ่นดิน จงควรจะได้ตระหนักในข้อนี้ และชอบที่จะทำความคิดจิตใจให้กระจ่างแจ่มแจ้งแจ่มใส เพื่อลดอคติ…”(พระราชดำรัส-4 ..2541, เดลินิวส์.14)



     ชนชั้นผู้ปกครองตั้งแต่ครอบครัวน้อยๆ ขึ้นไปไม่ควรประกอบด้วยอคติความลำเอียง หากผู้ปกครองทำอะไรด้วยอำนาจอคติ การปกครองก็จะไม่เรียบร้อยผู้อยู่ในการปกครองก็จะเดือดร้อนไม่สงบสุข แต่ถ้าผู้ปกครองทำอะไรไปโดยไม่มีอคติแอบแฝงอยู่ การปกครองก็เป็นไปโดยเรียบร้อย ผู้อยู่ใต้การปกครองก็ไม่เดือดร้อน มีแต่ความสุขโดยทั่วกัน
      คำว่า อคติ แปลว่า ไม่เดิน, ไม่ไป หมายความว่า ไม่ควรเดิน ไม่ควรไป หรือไม่ควรประพฤติ อคติ ศัพท์นี้ตรงกับภาษาไทยว่า ความลำเอียง ความไม่เที่ยงธรรม, ความไม่ยุติธรรม มีอยู่ 4 อย่างคือ

      1. ฉันทาคติ แปลว่า ลำเอียงเพราะรักกัน หรือเพราะชอบพอกัน เช่น การตัดสินคดีอธิกรณ์ พิพาทต่างๆ ก็ดี การแบ่งปันของก็ดี การพิจารณาให้ยศหรือรางวัลก็ดี ด้วยอำนาจพอใจรักใคร่กัน โดยตัดสินผู้ที่ชอบพอกันเป็นผู้ชนะทั้งๆ ที่ไม่ควรชนะ ให้สิ่งของที่ดี ให้ยศหรือรางวัลแก่คนที่ชอบพอกันทั้งๆ ที่ไม่ควรจะได้ กิริยาอาการอย่างนี้ เป็นการไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่ง
      2. โทสาคติ แปลว่า ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน หรือเพราะโกรธกัน เกลียดกัน ชังกัน เช่น การตัดสินคดีด้วยอำนาจความโกรธ เกลียดชัง โดยให้ผู้ที่โกรธนั้น เป็นผู้แพ้ทั้งๆไม่ควรแพ้ ให้ของที่เลวแก่ผู้ที่ตนเกลียดชัง ทั้งๆที่เขาควรจะได้ของดี ไม่ให้ยศหรือรางวัลแกผู้ที่ไม่ชอบกันทั้งๆ ที่เขาควรได้ กิริยาอาการอย่างนี้เป็นการไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่ง
      3. โมหาคติ แปลว่า ลำเอียงเพราะเขลาหรือเพราะความโง่หลงงมงาย ไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ว่าอย่างไรถูก อย่างไรผิดอย่างไรควร อย่างไรไม่ควร เช่น เมื่อได้รับคำฟ้องแล้ว ยังไม่ทันได้สอบสวนให้รอบคอบ ก็ด่วนตัดสินผิดๆ พลาดๆ ขาดๆ เกินๆ ไม่ถูกต้อง ยังไม่พอดีตามที่ควร กิริยาอาการอย่างนี้เป็นการไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่ง
      4. ภยาคติ แปลว่า ลำเอียงเพราะกลัวหรือเพราะเกรงใจ เช่น ผู้มีอำนาจทำผิด ผู้พิพากษา ไม่กล้าตัดสินลงโทษเพราะกลัวเขาจะทำร้ายตอบ หรือผู้น้อยที่อยู่ในความปกครองทำความผิด ผู้ปกครองไม่กล้าลงโทษเพราะเกรงจะขาดความ เมตตากรุณา หรือกลัวว่าเขาจะเดือดร้อน กิริยาอาการอย่างนี้ เป็นการไม่ยุติธรรมอย่างหนึ่ง

      ความลำเอียงทั้ง 4 ประการนี้ เป็นอันตรายอย่างมาก ทุกยุคทุกสมัยที่บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการปกครองบังคับบัญชาบุคคลอื่นด้วยแล้ว มีความลำเอียง (อคติ) อยู่เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น ก็จะทำให้สูญเสียความยุติธรรมขาดความอบอุ่น ขาดความมั่นใจของคนที่เกี่ยวข้องเป็นผู้น้อย เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของบุคคลเหล่านั้น แต่ความลำเอียง (อคติ) ทั้ง 4 อย่างนี้ ไม่ได้เจาะจงเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั่น แม้แต่ผู้น้อยหรือเด็กๆ ก็อาจจะเกิดความลำเอียง (อคติ) ขึ้นมาได้เหมือนกัน เหตุนั้นพระองค์จึงตรัสเพื่อลดอคติและสร้างเสริมความเมตตาในกันและกัน ร่มกันเร่งปฏิบัติสรรพกิจการงานให้ประสานเกื้อกูลกัน เพื่อทุกคนจะได้สามารถนำพาประเทศชาติให้ก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง และบรรลุถึงความวัฒนาผาสุกได้โดยสวัสดิ์ดี

พระมหาอดิศร ถิรสีโล
วัดราชบูรณะฯ กทม.
                                                             

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น