วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ครุฑ

กางกรอุ้มโอบแก้ว กากี
ปีกกระพือพาศรี สู่งิ้ว
ฉวยฉาบคาบนาคี เป็นเหยื่อ
หางกระหวัดรัดหิ้ว สู้ไม้รังเรียงฯ

คง ไม่มีใครที่ไม่เคยเห็นรูป “ครุฑ” เพราะจะมีให้เจอกันอย่างชินตา โดยเฉพาะสถานที่ หรือทรัพย์สินทางราชการ หน้าธนาคาร หรือแม้กระทั่งในธนบัตร รวมถึงวรรณกรรมหลายเรื่องก็มีการกล่าวถึงครุฑ เรื่องที่คนไทยรู้จักกันดีก็คือ กากี ซึ่งได้หยิบยกโคลงเห่ขึ้นมาเกริ่นข้างต้น แต่ก็คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของพญานกเจ้าเวหานาม ว่า ครุฑ

ครุฑ เป็นพญานก มีรูปครึ่งมนุษย์ ครึ่งนกอินทรี เป็นโอรสของพระกัศยปมุนี กับนางวินตา พระกัศยปมุนีนั้นเป็นฤษีที่มีอำนาจมาก ส่วนนางวินตาเป็นธิดาของพระทักษประชาบดี ซึ่งมีธิดาถึง 50 องค์ และได้ยกให้พระกัศยปมุนี ถึง 13 องค์ อีกองค์ที่โด่งดังคือนางกัทรู ซึ่งเป็นพี่ของนางวินตา

นาง กัทรูได้ขอพรจากสามีให้มีลูกจำนวนมาก จึงให้กำเนิด นาค ถึง 1,000 ตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอลูกเพียง 2 องค์ แต่ขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา จึงได้คลอดลูกออกมาคือ อรุณ และ ครุฑ ซึ่งต่อมาอรุณได้ไปเป็นสารถีของพระสุริยเทพ ส่วนครุฑเมื่อแรกเกิดออกจากไข่ว่ากันว่ามีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาจะตกใจหนีหายไป รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ ทิศ

ต่อมา นางกัทรูและนางวินตามีเรื่องถกเถียงกันว่าม้าที่เกิดคราวทวยเทพและอสูรกวน น้ำอมฤตจะสีอะไร จึงพนันกันว่าใครแพ้จะต้องยกเป็นทาสของอีกฝ่าย 500 ปี นางวินตาทายว่าสีขาว นางกัทรูทายว่าสีดำ ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาว แต่นางกัทรูใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซม อยู่เต็มตัวม้า นางวินตาไม่ทราบจึงต้องเป็นทาสถึง 500 ปี จึงทำให้ครุฑและนาคต่างไม่ถูกกันนับแต่นั้นมา

แต่ เพื่อช่วยแม่ให้เป็นอิสระ ครุฑได้เจรจาทำความตกลงกับพวกพญานาคที่ต้องการเป็นอมตะว่าจะไปนำน้ำอมฤตที่ อยู่กับพระจันทร์มาให้ ครั้นแล้วก็บินไปสวรรค์ คว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมาจึงเกิดต่อสู้กัน ทวยเทพทั้งหมดแพ้ครุฑ ยกเว้นพระวิษณุที่ต่อสู้กันไม่มีใครแพ้หรือชนะเลยต้องทำความตกลงหย่าศึก โดยพระวิษณุหรือพระนารายณ์สัญญาว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะ และให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าขอเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า

ส่วน หม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ตามมาขอคืน แต่ครุฑขอร้องว่าต้องรักษาสัตย์ ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส ขอให้พระอินทร์ไปเอาคืน จากนาคเอง เมื่อครุฑเอาน้ำอมฤตไปให้นาคก็วางไว้บนหญ้าคา แต่ ทำหกบนหญ้าคา 2-3 หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคล ใช้ประพรมน้ำมนต์ ส่วนงูเมื่อเห็นน้ำอมฤตบนหญ้าคาก็ไปเลียกิน ด้วยความไม่ระวังจึงถูกคมหญ้าบาดเป็นทางยาว งูจึงมีลิ้นแตกเป็น 2 แฉก ฝ่ายนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดีปล่อยนางวินตามารดาของครุฑเป็นอิสระ แต่ขณะ พากันไปสรงน้ำชำระกายก่อนจะกินน้ำอมฤต พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคยิ่งเพิ่มความเป็นศัตรูกับครุฑยิ่งขึ้น

ตาม วรรณคดีพุทธศาสนา เช่นเรื่อง สุสันธีชาดก และกากาติชาดก ระบุว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่มืดมนทำลายบ้านเมืองให้พังทลายได้ ครุฑมีชายานามว่า อุนนติ หรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัม พาที และ ชฎายุ ที่อยู่ของครุฑคือสุบรรณพิภพ เป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว เชิงเขาพระสุเมรุ

นอกจากตำนานข้างต้น ครุฑยังมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอีกหลายอย่าง โดย เฉพาะการถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ที่มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดีย ที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ดังนั้น ครุฑซึ่งทรงอิทธิฤทธิ์ และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์

พระ ราชลัญจกร ตั้งแต่สมัยอยุธยา มีองค์หนึ่งเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่าไม่ควรมีองค์พระนารายณ์ ควรมี แต่ครุฑ จึงโปรดให้ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยา นริศรานุวัตติวงศ์ ทรงเขียนถวายใหม่ และ โปรดให้ทำขึ้นใช้ประทับพระปรมาภิไธย ปัจจุบันตราดวงนี้อยู่ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำหรับประทับกำกับพระปรมาภิไธย ในหนังสือสำคัญ เช่น ประกาศนียบัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต่อมาจึงได้มีการใช้ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่ว ๆ ไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ 

สำหรับรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์ พระมหากษัตริย์เรียกว่า ธงมหาราช เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น ส่วนครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงมีอยู่ 3 ลำ คือ เรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑ สีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักร เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค และ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ

นอก จาก “ตราครุฑ” จะปรากฏในส่วนราชการต่าง ๆ แล้ว ภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินใน กิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า “โดยได้รับพระบรมราชานุญาต” ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราช อัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้วก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน

ปัจจุบันการขอพระราชทานตรา ตั้งนี้ต้องยื่นคำขอต่อสำนักพระราชวัง เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซึ่งตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวัง เรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานฯ เสียชีวิต หรือเลิกประกอบกิจการ หรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ.

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ :

ข้อมูล : ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก

http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=02409


*************************************************

ป็นห่วง...

เพื่อนส่งอีเมล์มาให้อ่าน...
เพื่อนเป็นคนระยองไปเยี่ยมญาติป่วยที่โรงพยาบาล จันทบุรี ด้วยความหิวน้ำจึงได้ซื้อโค้กมากินแต่เช็ดฝากระป๋อง ไม่สะอาด เมื่อกลับบ้านที่ระยอง ตกกลางคืน จู่ๆก็มีไข้แล้วชัก ภรรยานำส่ง ร.พ. ระยอง 

นอนอยู่สามวัน  หมอหาสาเหตุไม่พบ มีอาการไม่รู้ตัวตาถลนญาติจึงนำเข้าร.พ. กรุงเทพ เพราะสงสัยเป็นโรคฉี่หนูปรากฏเป็นเช่นนั้นจริงๆ 
     
 นอนไม่รู้ตัวอยู่สองอาทิตย์หลังจากนั้นค่อยดีขึ้น รักษาตัวอยู่หนึ่งเดือนครึ่ง หมดค่ารักษาแปดแสนกว่า แต่ความจำเสื่อม ตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างฟื้นฟูความจำ พูดจาวกวน หมอที่โรงพยาบาลกรุงเทพบอกว่า นี่เป็นคนที่ไม่ถึงสิบ ที่หายจาก โรคนี้ในเมืองไทย และถ้าเพื่อนหรือญาติ  ใครเป็นให้ส่ง ร.พ. กรุงเทพ ด่วน !เพราะเป็นที่เดียวที่มีแพทย์เชี่ยวชาญเรื่องนี้เฉพาะ ช่วยอ่านหน่อย อันนี้สำคัญนี่ไม่ใช่เรื่อง ตลกนะ !!                                                      
ซื้อโค้กกระป๋องหรือเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องชนิดใด ก็ตาม 
 ก่อนดื่มคุณต้องแน่ใจว่า ได้ล้างฝากระป๋องด้วยน้ำก๊อก!และสบู่แล้ว หรือถ้าไม่มีก็ขอให้ใช้หลอดดูดแทน                                             เพื่อนคนหนึ่งของครอบครัวได้ เสียชีวิต  หลังจากดื่มโซดากระป๋อง  โดยไม่ได้ล้างฝากระป๋องก่อนดื่ม! ปรากฏว่า ที่ฝากระป๋อง เต็มไปด้วยฉี่หนูที่แห้ง   แล้วและเป็นพิษซึ่งมีอันตรายร้ายแรงถึง ชีวิต!!!! 
       
 เครื่องดื่มกระป๋องและอาหารกระป๋องมักถูกเก็บไว้ใน โกดังเก็บของ และตู้container ซึ่งมี หนูเข้ามาอยู่เต็มไปหมด และของเหล่านี้ก็จะถูกส่งต่อไปจำหน่ายยังร้านค้า ปลีกต่างๆ  โดยที่ไม่ได้ทำความสะอาด   อย่างถูกต้อง !!!                                                        

โปรดส่งข้อความนี้ต่อไปยังคนที่คุณห่วงใย
ขอบคุณ
กองสาธาณสุข    02 564-6539  02 564-6539    02 564-6539  02 564-6539      02 564-6539  02 564-6539    02 564-6539  02 564-6539  

เรืองโรจน์ พูนผล "กระทิง" เสิร์ช "กูเกิล" ล่าฝัน

หากคุณอยากมีแรงบันดาลใจที่แรงกล้า ไม่ใช่คนที่คอยแต่จะละทิ้งความฝัน แล้วฝันเรื่องใหม่เรื่อยๆ แต่คือการทุ่มสุดตัวเพื่อไปให้ถึงความฝัน แม้จะมีต้นทุนเดิมเกือบเท่ากับศูนย์ก็ตาม... ต้องอ่านเรื่องราวของคนไทยโกอินเตอร์คนนี้ กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทกูเกิล องค์กรในความฝันของเด็กรุ่นใหม่จำนวนมากในโลก และถูกจัดให้เป็นองค์กรที่น่าทำงานที่สุดในโลกของนิตยสารฟอร์จูน

ผมเรียนที่โรงเรียนในจังหวัดกำแพงเพชร ในต่างจังหวัดบรรยากาศของความเป็นไปไม่ได้ค่อนข้างเยอะ แต่มันไม่จำเป็นที่ว่า จังหวังหวัดเล็กๆ จะมาจำกัดความฝันของคนให้ฝันใหญ่ๆได้
ประโยคที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นจากกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล” นี้ ไม่ได้มาพร้อมกับถ้อยคำที่สวยงามเท่านั้น แต่น้ำเสียง และแววตา ส่งสัญญาณแรงจนสัมผัสได้

กระทิง” นอกจากไม่ใช่ด็อกเตอร์เหมือนคนส่วนใหญ่ในองค์กร ยังเป็นคนไทยที่ดูเหมือนว่าถนนสายซิลิคอน วัลเล่ย์เส้นนี้ไม่น่าจะเปิดรับได้ง่าย แต่เพราะความเป็น กระทิง” ที่ฝ่า ดงฉลามมาก่อนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แหล่งคนเก่งระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น วิลเลียม ฮิวเลตต์ (William Hewlett) และเดวิด แพคการ์ด(David Packard) สองผู้ก่อตั้ง ฮิวเลตต์ แพคการ์ด” หรือจะเป็น สตีฟ จ๊อบส์ และ สตีฟ วอซนิแอค สองบิ๊ก แอปเปิล ในรุ่นเขายังมีประธานยาฮู จีนเป็นเพื่อนร่วมชั้นอยู่ด้วย
เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว กระทิง” คือคนนิ่งเงียบที่สุดในห้องเรียน ขณะที่เพื่อนรวมชั้น 41 คนต่างยกมือเพื่อแย่งกันตอบคำถามอาจารย์ ทุกคนฉลาดกันมาก แม้ตัวเขาจะได้คะแนนจีแมท 750 แต่ก็เพิ่งรู้ว่าไม่ได้เก่งอย่างที่คิด

เพราะคำสอนคุณแม่ยังดังก้องอยู่ในความทรงจำของ กระทิง” ตลอดเวลาว่า ถ้าเขาเก่งกว่า ก็ต้องพยายามให้เหมือนเขา แม่ผมก็บอกให้ผมคิดเหมือนกระทิง เจอปัญหาวิ่งเข้าใส่

ในช่วงแรกมีปัญหาในเรื่องวัฒนธรรมของประเทศอเมริกาที่ผมไม่เข้าใจ การเข้าสังคมมีปัญหามากๆ และในช่วง เดือนแรก ผมก็พยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนอเมริกัน แต่สุดท้ายผมก็รู้ว่าถึงอย่างไร ผมก็เป็นคนไทย ผมไม่มีทางที่จะเป็นคนอเมริกันได้ ผมจึงย้อนกลับมาหาตัวตนที่แท้จริงของความเป็นไทย คนไทยมีอะไรที่ดีมากๆ คือคนไทยเป็นคนจริงใจ ในขณะที่คนอื่นๆ พยายามสร้างความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์ แต่คุณเข้าไปคุณไม่ได้หวังอะไร คุณมีแต่ความจริงใจ
สุดท้าย กระทิง” ก็สามารถปรับตัวได้ และได้รับเลือกจากอาจารย์ให้เป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการและฝ่ายการต่างประเทศ นอกจากนั้นยังเป็นประธานชมรมการตลาดที่มีสมาชิกกว่าร้อยคน และพาทีมคว้าอันดับสองของการแข่งขันกรณีศึกษาการตลาดแห่งสหรัฐ
อเมริกา ที่จัดโดย บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด
ที่ สแตนฟอร์ด” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับ กระทิง” เขาบอกว่า เป็นที่สอนให้มีกรอบวิธีคิดแบบผู้ประกอบการ คือ กล้าเสี่ยง กล้าได้ กล้าเสีย มุ่งมั่น ในบางครั้งที่คนอื่นบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายก็เชื่อมั่นในความฝัน และสุดท้ายเราจะทำตามฝันของเรา
ความฝันผลักดันให้เกิดความพยายาม แม้ กระทิง” จะเรียนหนัก และต้องทำงานด้วย เพราะค่าเรียนแพง แต่ไม่เคยท้อ เขานอนวันหนึ่งเพียง ชั่วโมงเท่านั้น ที่ทำได้เพราะคำนวณว่าถ้านอนวันละ ชั่วโมง มีอายุถึง 100 ปีจะใช้เวลานอนถึง 33 ปี แต่ถ้านอนแค่
ชั่วโมง จะมีเวลาเพิ่มขึ้นอีก 16 ปี
คนที่วิ่งเข้าใส่ความยากลำบาก ดูเหมือนจะไม่เคยพ่ายแพ้ เหมือนอย่างกูเกิล ที่แม้จะเกิดทีหลังในโลกไซเบอร์ ตามหลังเว็บพอร์ทัลยักษ์ใหญ่อย่างยาฮูที่มีเสิร์ชเอนจิ้นอยู่หลายปี แต่เพราะคุณสมบัติพิเศษ จากผู้ก่อตั้งที่มีเป้าหมายธุรกิจชัดเจน บริหารจัดการด้วย
เรียบง่าย การเสิร์ชง่าย เข้าใจง่าย และรวดเร็ว ทำให้กูเกิลกลายเป็นเสิร์ชเอนจิ้นยอดฮิตสูงสุด

กระทิง” ซึ่งแต่งกายอย่างเรียบง่าย พูดจาด้วยถ้อยคำชัดเจน เต็มไปด้วยเนื้อหา มีเป้าหมายชัดเจนคือความฝันที่อยากทำงานที่กูเกิล องค์กรที่ กระทิง” บอกว่า มหัศจรรย์” เสริมด้วยความคิดที่ว่า การที่อยู่ท่ามกลางพายุแห่งการปฏิวัติและการแข่งขันที่บ้า
คลั่งจะทำให้เรา ได้เรียนรู้ ได้ฝึกฝนได้พัฒนาตนเอง และเมื่อวันหนึ่งเราพร้อม เราค่อยกลับมาทำอะไรที่ประเทศไทยได้ดีกว่า” กูเกิล จึงเป็นที่สำหรับ กระทิง” แม้ตอนเรียนจบใหม่ๆ มีข้อเสนอรับเขาเข้าทำงานถึง บริษัทแต่นั่นไม่ใช่ความฝันของกระทิง
เขาตอบคำถามตัวเองได้ว่า ผมไม่ได้ถูก Drive ด้วยเงิน แต่ถูก Drive ด้วยความฝัน ผมคิดว่าถ้าผมต้องอยู่ด้วยเงินอย่างเดียว ผมคงเป็นคนที่น่าสงสาร คือคุณมีเงินแต่ไม่มีความฝัน ไม่มีความสุข แววตาไม่เป็นประกาย เวลาทำอะไรคุณไม่ภูมิใจ
คำตอบสุดท้ายในขณะนั้นมีเพียง ตัวเลือกที่เขาเต็มใจและอยากจะร่วมงานด้วย คือ แอปเปิล’ กับ กูเกิลและเขาคิดว่า กูเกิล’ เป็นบริษัทที่กำลังร้อนแรง มีคนจากทั่วโลกสมัครทำงานด้วยจำนวนมาก ที่นี่เขาใช้เวลาลุ้นถึง เดือนสัมภาษณ์ทั้งหมดรอบ

กระทิง” บอกว่ากูเกิลจะเลือกคนที่เข้ากับองค์กรได้จริงๆ ต่อให้คุณเก่งแค่ไหนถ้าคุณไม่เข้ากับองค์กร สุดท้ายก็จะทำให้องค์กรเสีย คนที่ถูกเลือกจะต้องมีความเป็น กูเกิล” และมีความเท่ในตัว ซึ่งเขาบอกว่าความเท่ของเขาคือการที่เขาเป็นคนไทย
ในที่สุดเขาก็ได้เข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่สำนักงาน ใหญ่ที่ซิลิคอน วัลเล่ย์ ดูแลในส่วนของทวีปเอเชียและลาตินอเมริกาพื้นที่ที่ กูเกิล” ยังแพ้คู่แข่ง
หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผลตอบแทนจากกูเกิลสูงมาก แต่อาจไม่ใช่เสมอไปเขาบอกว่าคนที่ กูเกิล” ไม่ได้เงินมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญคือการคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะสามารถแก้ปัญหาให้ผู้ใช้บริการ อินเทอร์เน็ต ซึ่งมีความหมายมากกับโลก
องค์กรในความฝันของหลายคนที่นี่ กระทิง” บอกว่า คนที่นี่ต้องยืดหยุ่น ยอมรับการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นธุรกิจใหม่ ที่นี่มีความอลหม่าน เพราะมันไม่มีรูปแบบ ต้องสร้าง ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมเปลี่ยนตำแหน่ง ครั้ง เปลี่ยนที่นั่ง ครั้งในเวลาไม่ถึงปี

กระทิง” ณ วันนี้เป็น Role Model ของเด็กไทยหลายคน เขาเป็นที่รู้จักอยู่แล้วในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และยิ่งเพิ่มเรตติ้งมากขึ้น เมื่อเขาได้เขียนพ็อกเกตบุ๊ก บทเรียนธุรกิจร้อนๆ จาก Silicon Valley” เป็น คนหนึ่ง” ที่องค์กรอย่างดีแทค ให้มาช่วยสร้างแรง
บันดาลใจให้พนักงาน เหมือนอย่างที่ ธนา เธียรอัจฉริยะ” รองซีอีโอของดีแทค บอกว่าสิ่งที่ กระทิง” เป็น สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนของดีแทคได้ ที่สำคัญโลกกว้างของ กระทิง” เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ดีแทครู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และโลกนั้นกว้าง
เพียงใด จากแววตาที่มีความมุ่งมั่น มี Passion แต่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
ผลตอบแทนวันนี้สำหรับ กระทิง” ไม่เพียงแค่การได้ทำตามฝัน และการได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมากเท่านั้น แต่พลังของของเขายังจุดประกายให้เกิดความฝัน และการพยายามตามมาอีกมากมาย ด้วยข้อสรุปของ กระทิง” ที่ว่า ไม่มีอะไรมาจำกัด
ศักยภาพของตัวเราได้นอกจากตัวเราเอง
ที่มา : positioningmag.com
 :: อีเมลนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดมาจากJerry Maguire ถ้าส่งซ้ำ ขออภัยด้วยนะครับ
GM5.jpg

ตระเวนไหว้พระชัยนาท สุขใจรับวันมาฆบูชา


จังหวัดชัยนาทตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคกลางตอนบนของประเทศไทย ถือเป็นเมืองโบราณที่มีความสำคัญแห่งหนึ่ง เป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายทั้งทางด้านศาสนา ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และเกษตรกรรม โดยเฉพาะทางด้านศาสนา พอได้ไปเยี่ยมชมดูด้วยตนเองแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า ชัยนาท” จะมีวัดสำคัญ ๆ และมีความน่าสนใจ มากขนาดนี้

วัดแห่งแรกที่จะพาไป คือ “วัดปากคลองมะขามเฒ่า” หรือ วัดหลวงปู่ศุข” ที่มีชื่อเสียงทางด้านพระเครื่อง เป็นวัดเก่าแก่อยู่ในอำเภอวัดสิงห์ จ.ชัยนาท ริมแม่น้ำเจ้าพระยา วัดแห่งนี้มีพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมอย่างคึกคักตลอดเวลา เนื่องจากต่างศรัทธาใน "หลวงปู่ศุข" หรือ พระครูวิมลคุณากร

ตามตำนานเล่าว่า ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้า ถึงขนาดเสกใบไม้ให้กลายเป็นตัวต่อตัวแตนได้ จน เสด็จเตี่ย” หรือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” บังเอิญทอดพระเนตรเห็น จึงเลื่อมใสและขอฝากตัวเป็นศิษย์ วัดนี้จึงมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของกรมหลวงชุมพรฯ บนผนังพระอุโบสถ ซึ่งเป็นภาพพุทธประวัติ

วัดต่อมาที่จะพามารู้จักคือ วัดเขาพลอง” หรือ วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี” ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองชัยนาท นอกจากท่านจะได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพตัวเมืองชัยนาทแล้ว ทุกคนยังจะได้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ที่บรรจุไว้ในเจดีย์บนยอดเขา และมีวิหารหลวงพ่อชื้น ผู้สร้างวัดและผู้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน โดยภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังทศชาติของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ที่เชิงเขาพลองยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ชื่อว่า พระพุทธอริยธัมโม” ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากมาย

จากนั้นล่องเรือมาต่อกันที่ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร” ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นที่ประดิษฐานเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ถ้าท่านไปช่วงวันเพ็ญเดือน หรือมีผู้ติดตามไปด้วยมากเพียงพอท่านจะได้ร่วมทำบุญห่มพระธาตุเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต โดยวัดแห่งนี้มีเป็นวัดที่ราชสำนักมักมาเอาน้ำไปทำน้ำมนต์เวลามีพระราชพิธีมงคลต่างๆ เพราะมีตาน้ำที่มีน้ำผุดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากอย่างหนึ่ง

วัดต่อไปที่อยู่ในทริปการเดินทางคือ วัดธรรมามูลวรวิหาร” ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาธรรมามูล เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักร ที่ว่ากันว่าลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงหน้าวัด ที่ฝ่าพระหัตถ์ขวามีรูป ธรรมจักรติดอยู่ จ.ชัยนาทจึงได้นำสัญลักษณ์นี้มาเป็นตราประจำจังหวัด มีเสมาหินทรายแดง มีรอยพระพุทธบาทในวิหาร ที่องค์พระประธานทำมาจากสำริด และเศียรโดนตัดขโมยไป กรมศิลปากรจึงทำจำลองขึ้นมา และไม่เปิดให้เข้าชม  บนยอดเขาธรรมามูลมีบันไดทางขึ้น 565 ขั้น ไปยังวิหารหลวงพ่อนาค ใครศรัทธาก็เชิญปีนขึ้นกันได้

สำหรับวัดอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในอำเภอสรรคบุรีชื่อว่า วัดมหาธาตุ” หรือชาวบ้านจะเรียกกันว่า “วัดหัวเมือง” มีความสำคัญถึงขนาดที่กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้วัดนี้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ เพราะเป็นวัดเก่าสร้างขึ้นมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาเสียอีก มีพระปรางค์ทรงกลีบมะเฟือง ศิลปะลพบุรี ที่เก่าแก่

นอกจากนั้นภายในวิหารคด ยังมีหลักเมืองสรรค์ ที่สร้างอยู่หลังพระพุทธรูปหลวงพ่อหลักเมือง เป็นที่แปลกใจแก่ผู้พบเห็น ภายในบริเวณวัดมีซากโบราณสถานเก่าแก่ที่รอการบูรณะ และวัดนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บโบราณวัตถุสมัยสุโขทัย ที่มีมูลค่ามหาศาลไว้อีกด้วย เรียกได้ว่าที่นี่มีความน่าสนใจและเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก

ถ้ามาถึงอำเภอสวรรคบุรีวัดอีกหนึ่งแห่งที่ไม่ควรพลาดไปเยี่ยมชมคือ “วัดพระแก้ว” ที่ภายในมีเจดีย์แบบละโว้ทรงสูง ศิลปะสมัยสุโขทัยกับศรีวิชัยผสมผสานกัน ได้ชื่อว่า ราชินีแห่งเจดีย์ทั้งมวลในเอเชียอาคเนย์” ขอบอกว่าสวยจนเกินจะบรรยายได้จริงๆ แต่จะสวยขนาดไหน ทำไมถึงได้รับการยกย่องขนาดนี้ต้องไปชมกัน และที่วัดแห่งนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ ทับหลังที่แกะสลักติดอยู่ด้านหลังขององค์พระพุทธรูป หลวงพ่อฉาย ภายในวิหารด้านหน้าเจดีย์อีกด้วย

ปิดท้ายด้วยอำเภอหันคากับ วัดดังที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยนาททั้ง “วัดไกลกังวล” หรือ “เขาสารพัดดีศรีเจริญธรรม” วัดนี้เป็นวัดโบราณสมัยลพบุรี แต่ตอนที่ค้นพบใหม่นี้กลายเป็นวัดร้าง จึงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ บนยอดเขาของวัดมีรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่ และถ้ายืนบนยอดเขานี้จะเห็นวิวเมืองชัยนาทและจังหวัดใกล้เคียงอย่างชัดเจนและสวยงามในมุมมองที่หาชมได้ยาก

โดยอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของวัดแห่งนี้คือกำแพงวัดที่ขอบอกว่ายาวมากเรียกว่าเป็นกำแพงวัดที่ยาวที่สุดในประเทศไทยหรือในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะมีความยาวถึง กิโลเมตร ซึ่งที่วัดนี้มีการนำสัตว์มาเลี้ยงตามธรรมชาติหลายพันตัว ทั้ง นกยูง กวาง  ละมั่ง เราสามารถให้อาหารสัตว์พวกนี้ได้อย่างใกล้ชิด กระซิบบอกนิดนึงว่า สวนนกชัยนาท ก็ยังมาเอานกยูงจากที่วัดนี้ไป และที่นี่ยังมีหลวงปู่สุ่มที่ท่านนั่งมรณภาพหล่อเรซิ่นไว้ให้ชาวบ้านที่ศรัทธามากราบไว้อีกด้วย

มาถึงวัดสุดท้าย วัดเทพหิรัณย์” ที่พระครู ดร.ไพศาลชัยกิจ (หลวงปู่ฤาษีตาไฟ) เป็นเจ้าอาวาส และพัฒนาวัดนี้จนเจริญรุ่งเรือง มีเรือนเทวดา ไว้ให้ผู้ที่เลื่อมใสมากราบไหว้ และว่ากันว่าใครมาจุดธูปขออะไรที่องค์ฤาษีตาไฟด้านหน้า ก็จะสัมฤทธิผล ซึ่งความเชื่อในเรื่องนี้มีเหล่าลูกศิษย์ลูกหา รวมถึงคนที่เคารพและศรัทธาในหลวงปู่ฤาษีตาไฟ แห่เข้ามาที่วัดนี้เป็นจำนวนมากทุกวันสำคัญทางศาสนา

วันมาฆบูชาที่กำลังจะมาถึงในปีนี้ ใครที่คิดยังไม่ออกว่าจะไปทำบุญเสริมสิริมงคลที่ไหน จังหวัดชัยนาทนับเป็นอีกหนึ่งจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ที่พร้อมต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวที่ใจบุญทุกคน ด้วยความงดงามและประวัติศาสตร์มากมายที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ใคร

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์





:: อีเมลนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดมาจากชอบเที่ยวไทย ถ้าส่งซ้ำ ขออภัยด้วยนะครับ
GM5.jpg

รำลึกหลวงพ่อปัญญา ที่ "วัดชลประทานรังสฤษฎ์"

http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=832811
พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ"หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ"
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       หากพูดถึงวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งจังหวัดนนทบุรี "วัดชลประทานรังสฤษฎ์" คงเป็นวัดที่ทุกคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ในฐานะวัดที่ปราศจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลัง การบอกใบ้หวย การเข้าทรงองค์เจ้า แต่วัดแห่งนี้มุ่งเน้นในเรื่องของหลักธรรมคำสอนและการปฏิบัติตามแก่นธรรมแห่งพระพุทธศาสนาเพื่อขัดเกลาจิตใจของผู้คนให้หลุดพ้นจากกิเลสที่พอกพูน โดยมี"หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ" เจ้าอาวาส"วัดชลประทานรังสฤษฏ์" ทำหน้าที่เป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม ขับเคลื่อนหลักธรรมคำสอนเผยแพร่สู่สาธารณชนมาเป็นเวลาช้านานแล้
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=832812
ทุกวันอาทิตย์พุทธศาสนิกชนจะมาทำบุญฟังเทศฟังธรรมกันเป็นจำนวนมาก
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์ ผู้ลาลับ ท่านถือเป็นหนึ่งในผู้มอบกายถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนาอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมีความมุ่งหมายในเกณฑ์ ประการคือ ประการแรกเพื่อประกาศความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ และประการที่สองเพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำที่ผิดๆ ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้หมดไป
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=832813
ผู้มาทำบุญใส่บาตรมีกันทุกเพศทุกวัย ทั้งมากันเป็นครอบครัวหรือจะมาคู่มาเดี่ยวก็ได้
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       ด้วย หลักเกณฑ์ที่หลวงพ่อปัญญาพึงยึดถือและปฏิบัติมาโดยตลอด รวมถึงการประยุกต์ธรรมต่างๆให้ง่ายต่อการเข้าใจและเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้ผู้ที่ได้ฟังธรรมของท่านได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจนกลายเป็นมหาศรัทธาของมหาชน
      
       หนึ่งในนั้นก็คือ ม.ล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทานในช่วง พ.ศ.2492-2509หรือบิดาแห่งชลกร หลังได้ฟังการแสดงธรรมของหลวงพ่อปัญญา เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดอุโมงค์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้เกิดความเลื่อมใสวิธีการสอนธรรมะแนวใหม่ของท่าน จากเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรม แบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นอย่างมาก
      
       และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาและวิธีการถ่ายทอดธรรมมะของหลวงพ่อปัญญา ม.ล.ชูชาติ และกรมชลประทานจึงได้มอบที่ดิน และสร้างวัดชลประทานรังสฤษฏ์แห่งนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ที่ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พร้อมได้อาราธนาหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุมาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่พ.ศ.2503 เป็นต้นมา
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=832814
อุโบสถเล็กๆ ใช่สำหรับทำสังฆกรรมของสงฆ์
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       หากใครได้มีโอกาสเข้าไปเยือนยังวัดชลประทานแห่งนี้จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันร่มรื่นร่มเย็นทั่วทั้งบริเวณวัด ด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย หรือจะเรียกว่าวัดป่าก็คงจะได้ ด้วยพื้นที่ที่กว้างใหญ่ถึง 48 ไร่ แต่ภายในกลับมีสิ่งปลูกสร้างเพียงน้อยนิดเพียงพอต่อการใช้งานเท่านั้น โดยสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆที่หลวงพ่อปัญญาได้สร้างไว้มีเพียง สิ่งเท่านั้นคือ โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ โรงเรียนพุทธธรรม และกุฏิสี่เหลี่ยมเท่านั้น นอกนั้นเป็นบุคคลภายนอกสร้างให้ตามสมควรทั้งสิ้น
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=832815
ต้นไม้ให้ข้อคิดมีอยู่ให้เห็นมากมายภายในวัด
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       หากใครได้สังเกตก็จะเห็นอีกว่าวัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปเพียงไม่กี่องค์ เนื่องจากหลวงพ่อไม่เน้นในเรื่องของวัตถุ หากแต่เน้นให้คนเข้าถึงคำสั่งสอนและปฏิบัติตามขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากกว่า ดังป้ายธรรมมะเตือนใจป้ายหนึ่งในหลายๆป้ายที่ติดไว้ตามต้นไม้ทั่วบริเวณวัดว่า
      
       "คนไหว้พระเท่าใดไม่ถูกพระ
       ไหว้เปะปะพระประดิษฐ์อิฐปูนปั้น
       ใจกระจ่างแจ้งธรรมที่สำคัญ
       พระจะพลันพบได้ในใจเรา"

      
       จากการยึดหลักความพอเพียงมาโดยตลอดการสร้างวัด อุโบสถของวัดแห่งนี้จึงเป็นเพียงอุโบสถเล็กๆสีขาวตั้งอยู่หน้าวัด ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิเป็นพระประธาน อุโบสถแห่งนี้จะเปิดเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสังฆกรรมของสงฆ์ในวันธรรมดา และจะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าไปกราบนมัสการพระประธานเฉพาะวันพระและวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น ส่วนหน้าอุโบสถนอกเขตพัทธสีมาด้านซ้ายและขวามีต้นสาละลังกาและต้นเหลืองปรีดิยาธร ที่หลวงพ่อปัญญานันทะได้ปลูกไว้เมื่อวันที่ ธันวาคม พ.ศ.2547
      
       เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะพบกับลานธรรมหรือลานหินโค้งใหญ่ ร่มรื่นด้วยแมกไม้ หากใครที่เคยไปวัดสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี คงจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะลานหินโค้งแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเลียนแบบขึ้นมา เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2480 หลวงพ่อปัญญาเคยไปจำพรรษาที่สวนโมกขพลาราม และได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านพุทธทาสภิกขุ และท่าน บ.ช.เขมาภิรัต (พระราชญาณกวี อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร วัดขันเงิน) เป็นสามสหายธรรมร่วมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และหลักธรรมที่แท้จริงตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=832816
กุฏิสงฆ์ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติสมถะ
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       ลานแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่ให้การแสดงธรรมภายในวัดเป็นแบบเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ เช่นเดียวกับสมัยพุทธกาล เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลาอาคารต่างๆ ภายในวัดจึงมีอาคารเท่าที่จำเป็นแก่ศาสนกิจเท่านั้น
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=832817
ประชาชนยังคงเดินทางมาเคารพสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญาอย่างต่อเนื่อง
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       ลานหินโค้งแห่งนี้ เดิมชื่อว่าลานไผ่ หรือสวนไผ่ เนื่องจากตอนนั้นบริเวณนี้มีต้นไผ่เยอะ กระทั่งปีพ.ศ.2536 หลวงพ่อได้ไปจำพรรษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้รักษาการเจ้าอาวาทแทนหลวงพ่อได้เอาต้นไผ่ออกแล้วแทนด้วยต้นไทร เนื่องจากต้นไผ่มีใบร่วงเยอะต้องเก็บกวาดบ่อย และต้นไทรก็ให้ร่มเงาที่ร่มเย็นกว่าด้วย
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       เมื่อหลวงพ่อกลับมาเห็นความเปลี่ยนแปลง ก็ได้ถามหาต้นไผ่ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสในขณะนั้นจึงตอบไปว่า หลวงพ่อไม่อยู่ ต้นไผ่เลยหนีไปเที่ยว แล้วต้นไทรก็อยากมาอยู่กับหลวงพ่อแทน หลวงพ่อได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วบอกว่าดี จะได้ร่มเย็น จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ว่า "ลานหินโค้ง"ตามลักษณะของลานนั่นเอง
      
       ที่ลานหินโค้งแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในทุกๆวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 07.00 น. ลานหินโค้งกว้างแห่งนี้จะเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมกันทำบุญใส่บาตร รายล้อมด้วยพระสงฆ์ที่นั่งรับบาตรอยู่บนอาสนะจำนวนหลายสิบรู
      
       หากใครมาไม่ทันช่วงเช้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะตั้งแต่เวลา 09.30 น. พระภิกษุสงฆ์ก็จะออกมาที่ลานหินโค้งอีกครั้งเพื่อรับบาตรฉันเพล บรรยายปาฐกถาธรรม ให้ศีลให้พร ถวายสังฆทานร่วมกัน จากนั้นพระท่านจะสวดมนต์พร้อมๆกับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมธรรมอย่างพร้อมเพรียง หากใครที่สวดมนต์ไม่เป็นก็มีหนังสือบทสวดให้ได้ยืมกัน ส่วนวันจันทร์-เสาร์นั้นพระสงฆ์จะออกรับบาตร ณ ลานหินโค้งในเวลาประมาณ 07.00 น. เพียงรอบเดียวเท่านั้น
      
       ส่วนในบริเวณสวนป่าที่ร่มรื่นสงบใกล้ลานหินโค้งยังมีโต๊ะม้านั่งมากมายเพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้ที่ต้องการศึกษาและปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งต้นไม้ให้ข้อคิด ซึ่งก็คือต้นไม้ที่ถูกปิดป้ายด้วยข้อคิดข้อธรรมต่างๆ อีกทั้งยังมีรูปปั้น ม.ล.ชูชาติ กำภู ผู้สร้างวัด และไม่ไกลกันก็มีรูปปั้นหลวงพ่อปัญญา ให้ประชาชนได้เคารพกันด้วย
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=832823
แม้จะหมดช่วงเวลาตักบาตรฟังธรรมแล้ว ก็ยังสามารถปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิกันได้ทุกเมื่อ
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
       นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนพุทธธรรม มีอุบาสกอุบาสิกา มาถือศีลอุโบสถปฏิบัติธรรมกันทุกวัน โดยมีพระภิกษุผลัดเปลี่ยนกันมาเทศนาแนะนำสั่งสอนเป็นประจำ อีกทั้งทางวัดได้จัดพระภิกษุคณะหนึ่งให้การศึกษาแก่เยาวชนในโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณวัดด้วย ซึ่งมีเยาวชนให้ความสนใจมากมาย อีกทั้งยังมีศูนย์จำหน่ายหนังสือธรรมะ รวมถึงเทปและซีดีธรรมะต่างๆให้ชาวพุทธได้เลือกสรรนำไปศึกษาปฏิบัติต่อไป
      
       ณ เวลานี้ แม้หลวงพ่อปัญญาจะลาลับไปจากวัดชลประทาน แต่ว่าหลักธรรมคำสอน เจตนารมณ์ ความมุ่งหมาย รวมสิ่งที่นักรบแห่งกองทัพธรรมท่านนี้ปฏิบัติ ยังคงอยู่ในจิตใจของชาววัดชลประทานทุกคน รวมถึงยังคงอยู่ในจิตใจของชาวพุทธส่วนใหญ่ไปตลอดกาล
      
       .................................
      
       "การสร้างพระคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด วิเศษที่สุด ก็คือคัมภีร์ธรรมที่อยู่ในใจของเรา เอาร่างกายเป็นตู้ใส่คัมภีร์ เอาใจเป็นที่จารึกพระคัมภีร์ จารึกไว้ในใจตลอดเวลา" 
       หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       "วัดชลประทานรังสฤษฏ์" ตั้งอยู่ที่ ก.ม.14 เลขที่ 78/8 หมู่ ถ.ติวานนท์ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120โทร.0-258-8845 วัดแห่งนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยทุกเช้าวันอาทิตย์ทางวัดจะมีกิจกรรมทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม มีโรงเรียนพุทธธรรมสำหรับอุบาสกอุบาสิกา และโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์สำหรับเด็กเยาวชน
      
       ผู้ที่สนใจจะร่วมทำบุญสร้างอุโบสถกลางน้ำ หรือกองทุนอื่นๆของของทางวัด สามารถทำบุญได้โดยเข้าทางบัญชีธนาคาร และไม่ควรส่งเป็นธนาณัติมาที่วัดเพราะธนาณัติบางใบเบิกไม่ได้ ซึ่งทางวัดต้องส่งกลับคืนเจ้าของธนาณัติอีกครั้งด้วย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2583-8845, 08-1831-2367, 08-1830-1923
      
       อนึ่งประชาชนสามารถไปเคารพสรีระสังขารหลวงพ่อปัญญาได้ที่ศาลาขจรประศาสน์ และสามารถชมนิทรรศการภาพถ่ายหลวงพ่อได้ที่อาคารฝั่งตรงข้ามศาลาขจรประศาสน์ ได้จนถึงวันที่ 18 ม.ค. 2551
 
:: อีเมลนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดมาจาก:  ถ้าส่งซ้ำ ขออภัยด้วยนะครับ
GM5.jpg