วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ฟื้นตำนาน "รถหนังขายยา"

ฟื้นตำนาน รถหนังขายยา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
.


       ในอดีตเมื่อภาพยนตร์ออกจากโรงฉายไปแล้ว ก็จะผ่านไปยังหนังกลางแปลงหรือหนังขายยา ซึ่งประเภทแรกจะมีการเก็บสตางค์คนดู อาจเรียกว่าหนังเร่หรือหนังปิดวิก โดยมีการกั้นอาณาเขตเหมือนเป็นโรงภาพยนตร์ แต่เป็นโรงกลางแจ้ง ส่วนหนังกลางแปลงที่ฉายให้ดูฟรีๆ ก็จะต้องมีเจ้าภาพว่าจ้างให้ไปฉาย เช่น ในงานศพ งานบวช งานศาลเจ้าหรืองานบุญตามประเพณีต่างๆ
พร้อมลุยฉายหนังทุกพื้นที่ทั่วไทย
       ส่วนหนังขายยานั้นก็จะฉายให้ดูฟรีเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่มีการหยุดฉายเพื่อขายยาเป็นระยะ ซึ่งมักจะออกไปฉายตามแถบชานเมืองหรือที่ห่างไกลในชนบท นานๆ ทีจะเห็นหนังขายยาปักจอฉายกันในตัวเมืองสักครั้ง แม้ครั้นต่อมาเมื่อมีการนำสินค้าอื่นไปขายด้วย คนก็ยังเรียกว่าเป็นหนังขายยาเช่นเดิมอีก
      
       
วิธีการไปฉายหนังขายยาโดย ส่วนใหญ่มักจะใช้รถยนต์เป็นพาหนะ แต่ก็มีบ้างบางแห่งที่ใช้เรือหรือเกวียน ถ้าเป็นรถยนต์ก็จะมีการตกแต่งรถโดยใช้สินค้าของตัวเองเขียนหรือวาดติดกับตัว รถเสมอ แบบว่าพอวิ่งผ่านไปที่ไหนคนก็จะเห็นโฆษณาสินค้าบนตัวรถทันที
      
       
นอกจากนั้นบนหลังคาก็ต้องมีการติดตั้งลำโพงกระจายเสียง ถ้าเป็นยุคเก่าก็จะเป็นลำโพงฮอร์น ซึ่งอย่างน้อยก็ต้องมี ตัวขึ้นไป ด้านหน้าและด้านหลัง ขณะที่ด้านในตัวรถจะมีการตั้งเครื่องฉายขนาด 16 มม. รวมถึงเครื่องขยายเสียง ตลอดจนอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็น อาทิ โครงเหล็กและผ้าขาวสำหรับไว้ขึงเป็นจอภาพยนตร์ และไม่ลืมเพิ่มเครื่องปั่นไฟพร้อมตัวแปลงสัญญาณ เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานหลักของการฉายหนังด้วย
       สำหรับรถหนังขายยาคันนี้ ซึ่งหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) จัดแสดงไว้เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย คือ รถหนังขายยาสตรีเพ็ญภาค ตราพระยานาค นับเป็นรถหนังขายยาที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดคันหนึ่งของประเทศไทย มีประวัติความเป็นมาโดย เจือ เพ็ญภาคกุล เจ้าของร้านขายยาเก่าแก่ยี่ห้อนี้ได้ซื้อรถจิ๊บ ดอดจ์ เป็นรถที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์ของกองทัพสหรัฐอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ และนำมาแต่งเป็นรถสำหรับเร่ฉายหนังและขายยาต่างๆ ตั้งแต่ราวปี 2492 เป็นต้นมา เคยตระเวนไปทั่วทุกภาคของประเทศไทยก่อนจะชำรุดทรุดโทรมและถูกปลดระวางในช่วงปี 2520
      
       
หลังจากนั้นทางห้างฯ ได้นำไปเก็บที่สวนแห่งหนึ่ง ย่านคลอง รังสิต ปทุมธานี โดยหวังว่าจะบูรณะเป็นพิพิธภัณฑ์ของห้างฯ ในอนาคต
      
       
ต่อมาเมื่อหอภาพยนตร์แห่ ชาติ กรมศิลปากร ได้จัดทำพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย ขึ้นเมื่อปี 2543 จึงได้ติดต่อขอรับบริจาครถหนังขายยาคันนี้จาก บริษัท ห้างขายยาเพ็ญภาค(ตราพระยานาค) จำกัด โดยผู้จัดการห้างฯ สุรชัย ไทยชาติ ยินดีบริจาครถดังกล่าว เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านรูปแบบของรถที่มีความสำคัญต่อ วงการภาพยนตร์ไทยต่อไป
ติดตั้งลำโพงเพื่อส่งเสียงเรียกคนดู
       อย่างไรก็ตาม การหาช่างและอู่ซ่อมเพื่อบูรณะรถให้กลับคืนสู่สภาพใกล้เคียง หรือสามารถใช้งานได้ดังเดิมไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐที่มีจำกัด ทำให้การซ่อมแซมไม่สำเร็จและยืดเยื้อไปถึงปี 2547
      
       
แต่แล้วเหมือนมีพระเอกขี่ม้า ขาวมาช่วย เมื่อ ประสิทธิ์ ดีศิลปกิจ ผู้จัดการ บริษัท อีซูซุอึ้งง่วนไต๋สุพรรณ จำกัด ซึ่งเคยเป็นเจ้าหน้าที่รุ่นบุกเบิกของหอภาพยนตร์แห่งชาติ เมื่อ 20ปีก่อนทราบเรื่อง จึงอาสานำรถคันนี้ไปดำเนินการบูรณะให้เอง ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และใช้เวลาหนึ่งปีเต็มจึงทำสำเร็จ พร้อมส่งมอบแก่หอภาพยนตร์แห่งชาติ ในวันที่ 21 มกราคม2549
      
       
จากนั้นเป็นต้นมา รถหนังขายยาคันนี้จึงกลับมามีชีวิตชีวา เสมือนหนึ่งเวลาที่ผ่านไปกว่า 60 ปี ยุคของหนังขายยากำลังรุ่งเรืองได้ย้อนอดีตกลับมาให้ผู้คนได้รำลึกถึงอีก ครั้ง 
      
       
ขอบคุณข้อมูลและเอื้อเฟื้อการถ่ายภาพ : หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)
สภาพบูรณะใหม่ทั้งคัน
       
       
ติดตั้งกล่องสัมภาระด้านท้าย
       
เปิดมาเจอเครื่องปั่นไฟ
       
พวงมาลัยซ้ายสไตล์รถมะกันแท้ๆ
       
       
ด้านบนสามารถเปิดรับลมได้
       
       
       
เครื่องแปลงสัญญาณไฟสำหรับการฉายหนัง
       
ด้านหลังบรรทุกอุปกรณ์การฉายครบครัน
       
กล่องใส่จอภาพอาจเป็นผ้าหรือพลาสติกสีขาว
       
ขึงด้วยโครงเหล็กเก็บไว้บนหลังคา
       
สภาพก่อนการฟื้นคืนชีพ รถหนังขายยา
       
ภาพร่องรอยประวัติศาสตร์ในยุคหนังขายยาเฟื่องฟู


 
-- 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น