วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ศีล 227 ข้อ


ศีลศีล 5         ศีล 8         ศีล 10         ศีล 227        

               ศีล ๒๒๗ มีความหมายคือ ศีลสำหรับพระภิกษุ ซึ่งพระภิกษุต้องถือศีล ๒๒๗ ข้อ โดยอยู่ในภิกขุปาฏิโมกข์ศีล ๒๒๗ ข้อที่เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่
ปาราชิก มี ๔ ข้อ
สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ข้อ)
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน) เสขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น สารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ)
โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการฉันอาหาร)
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)
อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิฏษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว

ปาราชิก มี ๔ ข้อได้แก่
๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)

สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้
๑.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน
๒.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
๓.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
๔.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน
๕.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
๖.สร้างกุฏิด้วยการขอ
๗.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
๘.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๙.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๐.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
๑๑.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์

อนิยตกัณฑ์ มี ๒ ข้อได้แก่
๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่
๑.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า
๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี
๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิ
๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
๑๑.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
๑๒.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน
๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
๑๔.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี
๑๕.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
๑๖.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
๑๘.รับเงินทอง
๑๙.ซื้อขายด้วยเงินทอง
๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน
๒๔.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
๒๖.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๒๗.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๒๘.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
๒๙.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน

ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่
๑.ห้ามพูดปด
๒.ห้ามด่า
๓.ห้ามพูดส่อเสียด
๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน
๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้
๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย
๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว
๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน
๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี
๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ
๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย
๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ
๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น
๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกั
๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่
๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ

ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อได้แก่
๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่

เสขิยะ สารูป มี ๒๖ ข้อได้แก่
๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน

โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่
๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร
๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร
๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
๒๕.ไม่ฉันดังซูด ๆ
๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน

ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ
๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)
๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง

ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ

อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่
๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป




พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 36

                [รวมรวมพระวินัยของภิกษุไว้เป็นหมวด ๆ]

          ลำดับนั้น    พระเถระทั้งหลาย     ยกปาราชิก   ๔      เหล่านี้ขึ้นสู่สังคหะ

(การสังคายนา)   ว่า   นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์    แล้วได้ตั้งสังฆาทิเสส  ๑๓    ไว้ว่า

เตรสกัณฑ์  ตั้ง  ๒  สิกขาบทไว้ว่า  อนิยต  ตั้ง  ๓๐  สิกขาบทไว้ว่า  นิสสัคคิย -

ปาจิตตีย์  ตั้ง ๙๒ สิกขาบทไว้ว่า ปาจิตตีย์  ตั้ง  ๔ สิกขาบทไว้ว่า ปาฏิเทสนียะ

ตั้ง ๗๕   สิกขาบทไว้ว่า เสขิยะ   ( และ)   ตั้งธรรม   ๗   ประการไว้ว่า  อธิกรณ-

สมถะ  ดังนี้.    รวมเป็น ๒๒๗

                   [รวบรวมวินัยของภิกษุณีเป็นหมวด ๆ]         

            พระเถระทั้งหลายครั้นยกมหาวิภังค์ขึ้นสู่สังคหะอย่างนี้แล้ว    จึงตั้ง  ๘

สิกขาบท  ในภิกษุณีวิภังค์ไว้ว่า  นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์   ตั้ง   ๑๗   สิกขาบทไว้ว่า

สัตตรสกัณฑ์  ตั้ง ๓๐ สิกขาบทไว้ว่า  นิสสัคคิยปาจิตตีย์   ตั้ง  ๑๖๖  สิกขาบท

ไว้ว่า ปาจิตตีย์  ตั้ง ๘  สิกขาบทไว้ว่า   ปาฏิเทสนียะ    ตั้ง ๗๕  สิกขาบทไว้ว่า

เสขิยะ (และ)   ตั้งธรรม  ๗  ประการไว้ว่า   อธิกรณสมถะ   ดังนี้. รวมเป็น  ๓๑๑

        พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้าที่ 602

               ประเภทสิกขาบทของภิกษุ

                   [๑,๐๒๕]  สิกขาบทของภิกษุ  ๒๒๐

           สิกขาบท  มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ   ท่านจง

           ฟังสิกขาบทเทล่านั้น     ดังจะกล่าวต่อไป

           ปาราชิก  ๔  สังฆาทิเสส  ๑๓  อนิยต  ๒

           นิสสัคคิยะ  ๓๐  ถ้วน  ขุททกะ  ๙๒  ปาฏิ-

           เทสนียะ  ๔  เสขิยะ  ๗๕  สิกขาบทของภิกษุ

           รวม  ๒๒๐  สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ.     

             (เมื่อรวมอธิกรณสมถ ๗ เป็น  ๒๒๗)

                ประเภทสิกขาบทของภิกษุณี

                   [๑,๐๒๖]  สิกขาบทของภิกษุณี  ๓๐๔

           สิกขาบท    มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ    ท่าน

           จงฟังสิกขาบทเหล่านั้น  ดังจะกล่าวต่อไป 

           ปาราชิก  ๘    สังฆาทิเสส  ๑๗   นิสสัคคิยะ

           ๓๐ ถ้วน      ขุททกะ ๑๖๖   ปาฏิเทสนียะ  ๘ 

            เสขิยะ ๗๕    สิกขาบทของภิกษุณีรวม   ๓๐๔

            สิกขาบทมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ.

             ( เมื่อรวมอธิกรณสมถ ๗ เป็น ๓๑๑ )

ปาราชิก  4   

1.   เสพเมถุน 

2.   อทินนาทาน    ตั้งแต่  5  มาสก

3.   ฆ่ามนุษย์

4.   อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน

สังฏาทิเสส  13  ข้อ   เช่น   ภิกษุจับต้องกายหญิง   พูดเกี้ยวหญิง   

                                     ภิกษุชักสื่อหญิงชายให้อยู่ด้วยกัน  ฯลฯ

นิสสัคคิยปาจิตตีย์  30  ข้อ  เช่น  ภิกษุขอจีวรคฤหัสถ์ชายหรือหญิงที่ไม่ใช่ญาติ

                                            อาบัติปาจิตตีย์  ฯลฯ

ปาจิตตีย์   92  ข้อ   เช่น    ภิกษุพูดส่อเสียด  ให้แตกแยกกัน  หรือ  พูดเท็จ

                                    สิ่งที่ไม่มีว่ามี  สิ่งที่มีว่าไม่มี  อาบัติปาจิตตีย์    ฯลฯ

ปาฏิเทศนียะ  เช่น  ภิกษุรับของเคี้ยวของฉันด้วยมือตน  จากมือภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ

                         นำมาเคี้ยวฉันกลืนล่วงลำคอ  ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ  ฯลฯ



ปาราชิก
๑ ห้ามภิกษุเสพเมถุนกับมนุษย์ อมุนษย์(เช่นสัตว์ดิรัจฉาน เปรต เป็นต้นไม่ว่าตายหรือยังมี ชีวฅ อยู่ หรือแม้แต่ศพเมื่อมีจิตรับจะทำเมถุนกับสิ่งนั้น
๒.ห้ามลักทรัพย์ ตั้งแต่ ๕ มาสก(หรือประมาณ ๑ บาทใน สมัยนี้)ขึ้นไป ถ้าลักทรัพย์ต่ำกว่าเป็นอาบัติข้ออื่น โดยมีจิตคิดจะเอาและได้ทรัพย์นั้นแล้ว
๓. ห้ามฆ่ามนุษย์และทำแท้งกับหญิงที่มีครรภ์ ( มีเจตนากระทำให้มนุษย์ตายหรือเด็กในครรภ์ตาย)
๔. ห้ามอวดอุตตริมนุษสธรรม คือไม่มีญาณก็ว่ามี ไม่มี ณานก็ว่ามี ไม่ได้มรรคไม่ได้ผลก็อ้างว่ามี ( ถ้ามีอยู่หรือถึงแล้วแสดงเพื่อประโยชน์ ก็ต้องห้ามเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ผลของการอาบัติปาราชิก ปรับอาบัติไม่ได้ถือขาดจากการครองสมณเพศไม่จำต้องบอกกล่าวหรือแจ้งแก่ผู้ กระทำ เป็นเหตุปิดการทำมรรคผลนิพพานในชาตินี้
ถ้าครองสมณเพศอยู่ถือว่าเป็นโจรปล้นพระศาสนาทำลายตนเองให้ถึงทุคติมีอบายภูมิเป็นที่เกิดอย่างแน่นอน
เปรียบเสมือนต้นตาลที่ยอดด้วนย่อมไม่เกิดผลได้


สังฆาทิเสส
๕. ห้ามทำน้ำอสุจิ ให้เคลื่อนด้วยความจงใจ (ยกเว้นฝัน)
๖ . ห้ามถูกต้องเคล้าคลึงกายหญิงด้วยความจงใจ
๗ . ห้ามพูดสอนความพูดพาดพิงถึงทวารหนักทวารเบาแก่สตรี
๘. ห้ามพูดล่อหญิงให้บำเรอตนด้วยเมถุนธรรม
๙. ห้ามเป็นพ่อสื่อให้คนแต่งงานกัน
๑๐.ภิกษุขอให้สร้างกุฎิแก่ตนต้องมีขนาดกว้าง ๗ คืบยาว ๑๒ คืบด้วยคืบของพระพุทธเจ้า
๑๑.ห้ามสร้างวิหารใหญ่โดยสงฆ์มิได้กำหนดที่
๑๒.ห้ามโจทอาบัติปาราชิกไม่มีมู
๑๓.ห้ามอ้างเลสโจทอาบัติปาราชิก
๑๔.ทำสังฆ์ให้แตกกัน(สงฆเภท)
๑๕.ห้ามเป็นพรรคพวกของผู้ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๑๖.ห้ามเป็นคนว่ายากสอนยาก
๑๗.ห้ามเป็นผู้มีความประพฤติเลวทรามและประจบ คฤหัสถ์อนิยตะ
๑๘. ห้ามนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง(อาบัติ ปาราชิก, สงฆาทิเสส,หรือปาจิตตีย์ )
๑๙ ห้ามนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง (อาบัติ สังฆาทิเสส , หรือปาจิตตีย์นิสสัคคีย์
๒๐. ห้ามเก็บจีวรเกินจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน (ยกเว้นทำเป็น สองเจ้าของ)
๒๑.ห้ามอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้คืนหนึ่ง(ยกเว้น ภิกษุ(ได้รับสมมติ)
๒๒.ห้ามเก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกิน ๑ เดือน(ยกเว้นทำเป็นสองเจ้าของ)
๒๓.ห้ามใช้นางภิกษุณีชักจีวรเก่า(จีวรที่ใช้แล้ว)
๒๔.ห้ามรับจีวรจากมือของภิกษุณี
๒๕.ห้ามขอจีวรต่อคฤหัสถ์ที่มิใช่ญาติ(ยกเว้นขอต่อคนปวารณา)
๒๖.ห้ามรับจีวรเกินกำหนดเมื่อจีวรถูกชิงหรือ หายไป
๒๗.ห้ามพูดให้เขาซื้อจีวรที่ดีกว่าเขากำหนดไว้เดิมถวาย
๒๘.ห้ามไปพูดให้เขารวมกันซื้อจีวรที่ดีถวาย
๒๙.ห้ามทวงจีวรเอาแก่คนที่รับฝากผู้อื่นเพื่อซื้อ จีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
๓๐.ห้ามหล่อเครื่องปูนั่งพรมเจือด้วยไหม
๓๑.ห้ามหล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม(ขนสัตว์) ดำล้วน
๓๒.ห้ามใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน๔ส่วนเมื่อหล่อเครื่องปูนั่ง
๓๓.ห้ามหล่อเครื่องปูนั่งให้ตัดของเก่าปนลงใน ของใหม่
๓๔.ห้ามการทำเครื่องปูนั่งให้ตัดของเก่าปนลงในของใหม่
๓๕.ห้ามนำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์
๓๖.ห้ามใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติทำการซักย้อมซึ่งขนเจียม
๓๗.ห้ามรับทองเงิน( ชาตะ รูปรชตะ)
๓๘.ห้ามทำการซื้อขายของด้วยเงินทอง
๓๙.ห้ามซื้อขายโดยใช้ของแลก
๔๐.ห้ามเก็บบาตรเกิน ๑ ลูกไว้เกิน ๓๐ วัน
๔๑.ห้ามขอบาตรเมื่อบาตรเป็นแผลงไม่เกิน ๕ แห่ง
๔๒.ห้ามเก็บเภสัช ๕(เนยใส, เนยข้น,น้ำมัน, น้ำผึ้ง ,น้ำอ้อย)เกิน ๗ วัน
๔๓.ห้ามแสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนเกินกำหนด
๔๔.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วห้ามชิงคืนในภายหลัง
๔๕.ห้ามขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๔๖.ห้ามไปกำหนดให้ช่างหูกทอจีวรให้ดีขึ้นเพื่อตน (ยกเว้นขอต่อคนปวารณา)
๔๗.ห้ามเก็บผ้าจำนำพรรษาไว้เกินกำหนด
๔๘.ห้ามภิกษุอยู่ป่าเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน (ยกเว้นภิกษุได้รับสมมุติ)
๔๙.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อตน


ปาจิตตีย์
๕๐.ห้ามพูดปด(มุสาวาท)
๕๑.ห้ามด่า(ผรุสวาท)
๕๒.ห้ามพูดส่อเสียด(ปิสุณาวาท)
๕๓.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช่ภิกษุ เช่นภิกษุณีสามเณรเป็นต้น)ในขณะสอน)
๕๔.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบันเกิน ๓ คืน
๕๕.ห้ามนอนร่วมกับหญิง
๕๖ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิงเกิน๖คำ(ยกเว้นเมื่อมีผู้ชายที่รู้เรียงสาอยู่ด้วย)
๕๗.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน
๕๘.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน
๕๙.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
๖๐.ห้ามทำลายต้นไม้
๖๑.ห้ามพูดไฉไลหรือทำให้ยุ่งยากเมื่อถูกสอบสวน
๖๒.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
๖๓.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
๖๔.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ไม่เก็บงำ
๖๕.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อนเพื่อทำให้ ภิกษุนั้นลุกหนีไป
๖๖.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์ เพราะ ขัดใจ(ยกเว้นภิกษุอลัชชี)
๖๗.ห้ามนั่งนอนบนเตียงหรือตั่งโดยแรงที่อยู่ชั้นบน
ซึ่งมีผู้นอนอยู่ชั้นล่าง(เป็นเตียง ๒ ชั้น)
๖๘.ห้ามโบกฉาบวิหารใหญ่เกิน ๓ ชั้น
๖๙.ห้ามเอาน้ำมีตัวสัตว์รดหญ้าหรือดิน
๗๐.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมายจากสงฆ์
๗๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว
๗๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
๗๓.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
๗๔.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ แต่ให้แลก เปลี่ยนจีวรกันได้
๗๕.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
๗๖.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี เว้นไว้แต่หนทาง ที่จะไปมีอันตราย
๗๗.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน เว้นไว้แต่โดยสารหรือข้ามฟาก
๗๘.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
๗๙.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับนางภิกษุณี
๘๐.ห้ามฉันอาหารในที่ทานเกิน ๑ มื้อ(ยกเว้นแต่ป่วย)
๘๑.ห้ามขออาหารชาวบ้านเพื่อมาฉันรวมมกลุ่มกับพวกของตน
๘๒.ห้ามนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
๘๓.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
๘๔.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
๘๕.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันอีกเพื่อจับผิด
๘๖.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล(วิกาลโภชนา)
๘๗.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
๘๘.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง(ยกเว้นขอต่อผู้ปวารณา)
๘๙.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน(ยกเว้นน้ำ)
๙๐.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่น
๙๑.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
๙๒.ห้ามเข้าไปนั่งกีดขวางในห้องนอนของหญิงกับ
ชายที่มีราคะ(เข้าไปขัดจังหวะชายหญิง)
๙๓.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับหญิง
๙๔.ห้ามนั่งในที่ลับหูสองต่อสองกับหญิง
๙๕.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่
๙๖.ห้ามขอปัจจัยเภสัชเกินกำหนดชนิดและเวลาที่เขาปวารณาไว้
๙๗..ห้ามไปดูกองทัพที่ยกออกไป
๙๘.ห้ามภิกษุมีกิจจำเป็นพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๙๙.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้นเมื่อมีกิจจำเป็นไปในกองทัพ
๑๐๐.ห้ามดื่มสุราเมรัย รวมของมึงเมาต่างๆ
๑๐๑.ห้ามจี้ภิกษุให้หัวเราะ
๑๐๒ห้ามว่ายน้ำเล่น
๑๐๓.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ขืนประพฤติอนาจารอยู่
๑๐๔.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว(หรือตกใจ)
๑๐๕.ห้ามก่อกองไฟเพื่อผิง(ยกเว้นผิงถ่านไฟที่ปราศจากเปลวไฟ )
๑๐๖.ห้ามอาบน้ำบ่อย เว้นแต่มีเหตุ
๑๐๗.ห้ามทำเครื่องหมายจีวรที่ได้มาใหม่
๑๐๘.วิกัปจีวรไว้แล้วจะใช้ถอนก่อน
๑๐๙.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๑๑๐.ห้ามฆ่าสัตว์
๑๑๑.ห้ามดื่มน้ำมีตัวสัตว์
๑๑๒.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ตัดสินเป็นธรรมแล้ว
๑๑๓.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบ(อาบัติปาราชิก,อาบัติสังฆาทิเสส)ของภิกษุอื่น
๑๑๔.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๑๑๕.ห้ามเดินทางร่วมกับโจรหรือพ่อค้าผู้หนีภาษี
๑๑๖.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
๑๑๗.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย
๑๑๘.ห้ามคบหากินอยู่ร่วมกับภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๑๑๙.ห้ามคบหาให้อุปัฏฐากกินอยู่ร่วมกับสามเณร
ผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๑๒๐.ห้ามพูดเลี่ยงเพื่อหวังจะไม่ศึกษาในสิขาบท
๑๒๑.ห้ามกล่าวย่ำยีดูแคลนพระวินัย
๑๒๒.ห้ามพูดแก้ตัวว่าเพิ่งรู้ว่ามีในปาติโมกข์
๑๒๓.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๑๒๔.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๑๒๕.ห้ามโจทอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล
๑๒๖.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๑๒๗.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๑๒๘.มอบฉันทะให้ทำการแทนแล้วห้ามพูดติเตียน
๑๒๙.ในที่ประชุมสงฆ์ตั้งญัตติแล้วกำลังทำการวินิจฉัยห้ามลุกไปโดยไม่ให้ความยินยอมต่อสงฆ์(เว้นไปสุขา)
๑๓๐.ร่วมกับสงฆ์ห้จีวรแก่ภิกษุแล้วห้ามติเตียนภายหลัง
๑๓๑.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๑๓๒.ห้ามเข้าไปในพระราชฐานชั้นในโดยไม่ได้ รับราชานุญาต
๑๓๓.ห้ามเก็บของมีค่า(รัตนะ)ที่ตกอยู่(เว้นตกในวัดเก็บไว้คืน)
๑๓๔.ห้ามเข้าบ้านยามวิกาลต้องลาภิกษุก่อน(เว้นมีธุระด่วน)
๑๓๕.ห้ามทำหล่อมเข็มด้วย กระดูก,งา,เขาสัตว์
๑๓๖.ห้ามใช้เตียงตั่งมีเท้าสูงกว่า ๘ นิ้ว ด้วยนิ้วสุคต
๑๓๗.ห้ามใช้เตียงตั่งหุ้มด้วยนุ่น
๑๓๘.ห้ามใช้ผ้าปูนั่งมีขนาดเกินกว่าขนาดยาว ๒ คืบกว้าง ๑ คืบ ชาย ๑ คืบด้วยคืบสุคต
๑๓๙.ห้ามใช้ผ้าปิดฝีมีขนาดเกินกว่าขนาดยาว ๔ คืบ กว้าง ๒ คืบ ด้วยคืบสุคต
๑๔๐.ห้ามใช้ผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินกว่าขนาด ยาว ๖คืบ กว้าง ๒ คืบด้วยคืบสุคต
๑๔๑.ห้ามใช้จีวรมีขนาดเท่ากับขนาดยาว ๙ คืบ กว้าง ๖ คืบ ด้วยคืบสุคต


ปาฎิเทสนียะ
๑๔๒.ห้ามรับของเคี้ยวของฉันจากมือนางภิกษุณี
๑๔๓.ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๑๔๔.ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ(ตระกูลที่ยากจน)นอกจากป่วยหรือเขานิมนต์แล้ว
๑๔๕..ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้บอกไว้ก่อนเมื่ออยู่ป่า
๑๕๙.เราจักไม่พูดเสียงดัง นั่งในบ้าน
๑๖๐.เราจักไม่เดินโคลงกาย ไปในบ้าน
๑๖๑.เราจักไม่นั่งโคลงกายในบ้าน
๑๖๒.เราจักไม่ไกวแขน ไปในบ้าน
๑๖๓.เราจักไม่ไกวแขน นั่งในบ้าน
๑๖๔.เราจักไม่สั่นศรีษะ ไปในบ้าน
๑๖๕.เราจักไม่สั่นศีรษะ นั่งในบ้าน
๑๖๖.เราจักไม่เอามือค้ำกาย ไปในบ้าน(เดินเท้าเอว)
๑๖๗.เราจักไม่เอามือค้ำกาย นั่งในบ้าน
๑๖๘.เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะ ไปในบ้าน
๑๖๙.เราจักไม่เอาผ้าคลุมศีรษะ นั่งในบ้าน
๑๗๐.เราจักไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในเท้า
๑๗๑.เราจักไม่นั่งรัดเข่า ในบ้าน(กอดเข่า)
๑๗๒เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ
๑๗๓.เราจักดูแลแต่ในบาตร รับบิณฑบาต
๑๗๔.เราจักรับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง(ไม่รับมาก)
๑๔๖.เราจักนุ่งให้เป็นปริมณฑล(เบื้องล่างปิดเข่า
เบื้องบนปิดสะดือไม่ห้อยไปข้างหน้าข้างหลัง)
๑๔๗.เราจักห่มให้เป็นปริมณฑล(ให้ชายผ้าเสมอกัน ไม่ห้อยไปข้างหน้าข้างหลัง)
๑๔๘.เราจักปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
๑๔๙.เราจักปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
๑๕๐.เราจักสำรวมด้วยดีไปในบ้าน (คือไม่คะนองมือคะนองเท้าหรือค้นหาอะไร)
๑๕๑.เราจักสำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
๑๕๒.เราจักมีตาทอดลงไปในบ้าน(อินทรียสังวร)
๑๕๓.เราจักมีตาทอดลง นั่งในบ้าน(เพื่อป้องกันกิเลส)
๑๕๔.เราจักไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
๑๕๕.เราจักไม่เวิกผ้า นั่งในบ้าน
๑๕๖.เราจักไม่หัวเราะดัง ไปในบ้าน
๑๕๗.เราจักไม่หัวเราะดัง นั่งในบ้าน
๑๕๘.เราจักไม่พูดเสียงดัง ไปในบ้าน
๑๗๕.เราจักรับบิณฑบาตพอเสมอขอบปากบาตร
๑๗๖.เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ ไม่รังเกียจ
๑๗๗.เราจักดูแต่ในบาตร เวลาฉัน(ถ้าฉันในบาตร)
๑๗๘.เราจักฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ(ไม่ขุดให้แหว่ง).
๑๗๙.เราจักฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง(ไม่ฉันกับมากเกินไป)
๑๘๐.เราจักฉันบิณฑบาต ไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
๑๘๑.เราจักไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยจะได้มาก
๑๘๒.เราไม่เจ็บไข้ จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุกเพื่อ ประโยชน์แก่ตนมาฉัน
๑๘๓.เราจักไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะเพ่งโทษ
๑๘๔.เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
๑๘๕.เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม
๑๘๖.เราจักไม่อ้าปากในเมื่อคำข้าวยังไม่มาถึง(อ้างค้าง)
๑๘๗.เราจักไม่เอานิ้วมือทั้งหมดใส่ปากในขณะฉัน
๑๘๘.เราจักไม่พูดทั้งที่ปากยังมีคำข้าว
๑๘๙.เราจักไม่ฉันโยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙๐.เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว
๑๙๑.เราจักไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๑๙๒.เราจักไม่ฉันพลางสลัดมือพลาง
๑๙๓.เราจักไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว(ทำข้าวเรี่ยราด)
๑๙๔.เราจักไม่ฉันแลบลิ้น
๑๙๕.เราจักไม่ฉันดังจับๆ(ไม่สำรวม)
๑๙๖.เราจักไม่ฉันดังซูดๆ(ไม่สำรวม)
๑๙๗.เราจักไม่ฉันเลียมือ
๑๙๘.เราจักไม่ฉันขอดบาตร(เว้นเหลือน้อยต้องขอด)
๑๙๙.เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๐๐.เราจักไม่เอามือเปื้อนจักภาชนะน้ำ
๒๐๑.เราจักไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงใน ละแวกบ้าน(ดูสกปรกเป็นรังเกียจ)
๒๐๒.เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
๒๐๓.เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มี ไม้พลองในมือ
๒๑๘.เราไม่เป็นไข้จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒๑๙.เราไม่เป็นไข้จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือ
บ้วนน้ำลายลงในของเขียว(พืชต้นไม้)
๒๒๐.เราไม่เป็นไข้จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือ บ้วนน้ำลายลงในน้ำ

อธิกาณะ
๒๒๑.การระงับอธิกรณ์ในที่พร้อมหน้า(บุคคล,วัตถุ,ธรรม)
๒๒๒.การระงับอธิกรณ์ด้วยยกให้ว่าพระอรหันต์ เป็นผู้มีสติ)
๒๒๓.การระงับอธิกรณ์ด้วยยกประโยชน์ให้ ในขณะเป็นบ้า
๒๒๔.การระงับอธิกรณ์ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๒๒๕.การระงับอธิกรณ์ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๒๒๖.การระงับอธิกรณ์ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๒๒๗.การระงับอธิกรณ์ด้วยให้ประนีประนอมหรือ เลิกแล้วกันไป





พระภิกษุที่ก้าวล่วงพระวินัยบัญญัติ ต้องโทษตามสมควรแก่พระบัญญัติ

เช่น ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที

     สังฆาทิเสส   ยังแก้ไขได้  แต่ต้องอาศัยสงฆ์ในการประพฤติวัตร อยู่กรรม มีปริวาสเป็นต้น

     ส่วนอาบัติที่เหลือ    เมื่อต้องเข้าแล้วสามารถแสดงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ได้  ก็บริสุทธิ์ได้

การรับโทษทางพระวินัย แม้ไม่มีใครมาลงโทษแต่การกระทำของตนนั้นแหละลงโทษ คือ เมื่อ

ต้องอาบัติไม่แก้ไขให้ถูกต้อง   อาบัตินั้นย่อมเป็นเครื่องกั้นคุณธรรมเบื้องสูง  และทำให้เกิดใน

อบายภูมิได้

 


.
พระภิกษุต้องถือศีล ๒๒๗ ข้ออันได้แก่

ศีล ๒๒๗ ข้อที่เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่


ปาราชิก มี ๔ ข้อ
 
สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
 
อนิยต มี ๒ ข้อ
 (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน) 
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ
 (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ข้อ) 
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ
 (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ) 
ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ
 (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)



เสขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น
 
สารูปมี ๒๖ ข้อ
 (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ) 
โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ
 (ว่าด้วยการฉันอาหาร) 
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ
 (ว่าด้วยการแสดงธรรม) 
ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
 (เบ็ดเตล็ด)

อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ
 (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)

รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิฏษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว 

ปาราชิก
 มี ๔ ข้อได้แก่
๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) 

สังฆาทิเสส
 มี ๑๓ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้ 

๑.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน๘.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๒.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ๙.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๓.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี๑๐.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
๔.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน๑๑.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๕.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
๖.สร้างกุฏิด้วยการขอ๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์
๗.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น


อนิยตกัณฑ์ มี ๒ ข้อได้แก่
๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว 

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 
มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่ 

๑.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน๑๖.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน๑๘.รับเงินทอง
๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า๑๙.ซื้อขายด้วยเงินทอง
๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิ๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน
๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย๒๔.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
๑๑.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม๒๖.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๑๒.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน๒๗.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง๒๘.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
๑๔.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี๒๙.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
๑๕.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน


ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่ 

๑.ห้ามพูดปด๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๒.ห้ามด่า๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๓.ห้ามพูดส่อเสียด๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย
๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ
๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น
๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกั
๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่
๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ


ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อได้แก่
๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า 

เสขิยะ
 
สารูป
 มี ๒๖ ข้อได้แก่ 


๑.




-- 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น