ทำบุญอย่างมีสติเถอะครับ
วันนี้ขออนุญาตระบายความในใจให้ ท่านผู้อ่านทั้งหลายช่วยพิ จารณาสักนิด
เรื่องของเรื่องก็คือระยะนี้เป็ นช่วงออกพรรษา เป็นระยะที่สาธุชนคนศรั ทธาในพระศาสนาต่างพากันเดิ นทางไปทอดกฐินตามวัดวาอารามอย่ างที่เคยเป็นมาช้านาน
ปีนี้ยังอยู่ในช่วงเศรษฐกิ จตกสะเก็ดยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าค่าเงินบาทที่ถอยกรูดไปอี กหลายบาท ค่าน้ำมันถีบตัวขึ้นไปอี กหลายสตางค์ จนชาวพาราสารขันธ์ต่างกรอบเป็ นข้าวเกรียบไปตาม ๆ กัน และด้วยเหตุการณ์เช่นนี้เชื่อว่ า วัดวาอารามหลายต่อหลายวัดปีนี้ จะไม่มีกฐินไปทอด โดยเฉพาะวัดเล็ก ๆ ที่ห่างความเจริญซึ่งโดยปกติก็ หาคนไปทำบุญด้วยยากอยู่แล้ว
เรื่องที่ขอระบายให้ฟังก็คือ การก่อสร้างถาวรวัตถุในพุ ทธศาสนากับภาวะเศรษฐกิจเสื่ อมโทรมสุดขีดในขณะนี้ กับการทำบุญขององค์กรใหญ่ ๆ ที่ดูเหมือนจะทำโดยมิได้ไตร่ ตรองถึงผลลัพธ์ว่า ‘คุ้ม’ หรือ ‘ไม่คุ้ม’
เป็น เพราะที่ผ่านมาผู้เขียนกับคุ ณทมยันตีได้มีโอกาสตะลอน ๆ ไปตามวัดหลายต่อหลายแห่ง จึงทำให้เห็นความจริงข้อหนึ่งที ่ค้างคาอยู่ในหัวใจมาโดยตลอด ความจริงข้อนั้นคือ...
‘เงิน’...หรือ ‘ปัจจัย’ จากศรัทธาของชาวพุทธถูกใช้ไปกั บสิ่งอันไร้ประโยชน์อย่างไม่คุ้ มค่าและน่าเสียดาย!
ครั้งหนึ่งเราถูกเชิญไปงานทอดผ้ าป่าที่มีผู้ใกล้ชิดท่านหนึ่ งเป็นประธานฯ เราเข้าไปในวัดเห็นศาลาหลังใหญ่ ซึ่งน่าจะใช้งบการสร้างไม่ต่ ำกว่าสิบล้านบาท แต่ศาลาถูกปิดทิ้งไว้ปล่อยให้ หยากไย่ฝุ่นละอองเกาะหนา มีเพียงนก หนู...สุนัขและแมวเป็นผู้อาศัย. ..
โดยสรุปคือ...ศาลาการเปรียญหลั งใหญ่ทำขึ้น สำหรับเป็นผลงานในการขอเลื่ อนสมณศักดิ์เป็น ‘ท่านพระครู’ ของท่านเจ้าอาวาส!
เรา เดินจากศาลาการเปรียญหลังงามที่ ปิดตายเอาไว้เฉย ๆ ผ่านโบสถ์เก่า ๆ ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าสร้างขึ ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ยุคต้น ๆ โบสถ์งามด้วยศิลปะ เก่าด้วยอายุ แต่ถูกทิ้งร้างปล่อยให้ทรุ ดโทรมเสียหายไปอย่างน่าเสียดาย
เราผ่านขึ้นไปยังกุฏิเจ้ าอาวาสด้วยความรู้สึกหดหู่ และยิ่งหดหู่มากขึ้นเมื่อเห็ นเศษสิ่งของโบราณ และพระพุทธรูปวางเกลื่อนกล่นเต็ มไปหมด เพราะผู้เขียนมีความรู้ด้านวั ตถุโบราณจึงแปลกใจว่า พระพุทธรูปสมัยอยุธยาไฉนจึ งมาวางกองอยู่ตรงนี้มากมาย ถามไปถามมาจึงได้ความจากปากท่ านเจ้าอาวาสเอง...
“ฉันฝันว่าเจดีย์เก่ามันล้ม... ฉันก็เลยรื้อลงเสียก่อน”
ครับ...เพราะ ท่านฝันท่านก็เลยรื้อเจดีย์เก่ าสมัยอยุธยาในวัดของท่านลงเสีย เป็นเหตุผลที่เราสองคนนั่ งมองตากันปริบ ๆ ศาสนสมบัติโบราณอันล้ำค่าถู กทำลายลง และหาทรัพย์มาสร้างศาลาหลังใหญ่ ขึ้นแทนแล้วปล่อยร้าง...ให้ หมาและแมวอาศัย
‘ถูก’ หรือ ‘ผิด’ ลองคิดตรองดูเถิดครับ!
และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ภูเตศวรได้พบกับพนักงานสำนั กงานใหญ่ของธนาคารแห่งหนึ่ง คุยกันไปคุยกันมาก็ได้ความว่าปี นี้ทางธนาคารมีกฐินไปวัดใหญ่ แถวลพบุรีที่ท่านเจ้าอาวาสเพิ่ งได้รับตำแหน่งท่านเจ้าคุ ณมาหมาด ๆ
เราถึงบางอ้อ...เพราะวัดนี้ เรารู้จัก เพราะท่านเจ้าอาวาสเคยขอให้ เราช่วยสร้างศาลาการเปรียญโดยรื ้อศาลาหลังเก่าทิ้ง หากหลังจากได้ไปดูแล้วเราคือผู้ เขียน...คุณทมยันตีและคณะปฏิ เสธที่จะช่วยดำเนินการ เพราะศาลาหลังเก่าเป็นศาสนสมบั ติที่พระเถราจารย์สายกรรมฐานที่ มีชื่อเสียงโด่งดังสร้างไว้เมื่ อสี่สิบกว่าปีก่อน และยังแข็งแรงใช้การได้เป็นอย่ างดี เราจึงบอกกับท่านเจ้าอาวาสว่า.. .
‘...ควรบูรณะมากกว่าทุบทิ้งสร้ างใหม่’
หนึ่ง...เพราะเป็นของเก่าที่ ควรเก็บไว้ให้ลูกหลานได้เห็น... สอง...เพราะของใหม่ใช้ งบประมาณถึงสิบห้าล้านบาท และเงินสิบห้าล้ านบาทในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ ไม่ควรเรี่ยไรชาวบ้าน
วันนั้นท่านรับฟัง...หากเมื่อผ่ านไปสองปี มาถึงวันนี้ กฐินของธนาคารใหญ่จะได้ปัจจั ยเข้าวัดเป็นล้าน ๆ บาท งานทุบทิ้งศาลาการเปรียญดังกล่ าวกำลังจะอุบัติ งานสร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ กว่า ๒๐ ล้านบาทกำลังจะเริ่มต้น
เราเลยได้แต่ถอนใจกับความจริงที ่กำลังจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า...เง ินที่กำลังหายากกำลังถูกละลายทิ ้งโดยเหตุผลสองข้อของ ‘พระ’ กับ‘โยม’
พระทำเพื่อยศถาบรรดาศักดิ์
โยม...ทำเพื่อเอาหน้า!
เรานึกถึงวัดเล็ก ๆ ในถิ่นทุรกันดาร...กุฏิหลังคามุ งแฝก ศาลาโย้เย้จนไม่มีที่ให้ พระสวดมนต์ พระนั่งรอโยมมาทำบุญเพียงเพื่ อซื้อสังกะสีมาซ่อมรอยรั่วหลั งคาให้พอได้อาศัย แต่วัดใหญ่รื้อศาลาที่ครู บาอาจารย์สร้างไว้ลง แล้วระดมทุนเป็นสิบ ๆ ล้านมาสร้างใหม่...
ภาพอย่างนี้ช่างขัดแย้งกันเหลื อเกิน!
พุทธศาสนาสอนเราให้มองดูจิต... รักษาใจ พระบรมศาสดาทรงละทิ้งโลก...ละทิ ้งสมบัติลงประทับใต้โคนต้นไม้ เฉกนั้นศาลาหลังใหญ่วัดอันโอ่ โถงจึงมิใช่หนทางก้าวสู่มรรคผล. ..อะไรเกินตัว อะไรที่มากเกินตนมิใช่หลักแห่ง ‘มัชฌิมาปฏิปทา’ ของศาสนาพุทธ
‘สงฆ์ต้องสงเคราะห์สงฆ์ด้วยกัน’ ประโยคนี้มีอยู่ในพระวินั ยของพระบรมศาสดา และทิ้งไว้ให้สาวกได้ประพฤติปฏิ บัติ ฉะนั้น วันนี้อยากจะถามพระที่อยู่วั ดใหญ่ ๆ มียศถาบรรดาศักดิ์ทุกท่านว่า... ควรหรือไม่ที่จะแบ่งปันและเจื อจานความมั่งมี ความอุดมสมบูรณ์ไปสู่พระผู้น้อย ไปให้วัดที่ยากจนในเขตทุรกั นดารบ้างหรือไม่
อย่างน้อยก็เป็นบุตรแห่ งพระตถาคตด้วยกัน!
ถึงตรงนี้อยากบอกกับท่านทั้ งหลายว่าการทำบุญทำทานในพุ ทธศาสนา ท่านกล่าวได้อย่างชัดเจน ‘ทำบุญก็ต้องมีสติ’ ต้องทำด้วยจุดเป้าหมายที่ว่า... สามารถยังประโยชน์ตนและประโยชน์ ท่านให้ได้มากที่สุด มิใช่ทำแล้วเหมือนเอาน้ำพริ กละลายแม่น้ำอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่เสมอ
ท้ายที่สุดในวันนี้ อยากย้ำความเก่าอีกครั้ง ในเรื่องความเสื่อมของศาสนาพุ ทธ...โดยพุทธพจน์ที่ว่า...
‘ศาสนาของเราตถาคตมิได้เสื่ อมเพราะภัยภายนอก แต่จะเสื่อมจากภัยภายใน อันเกิดจากพุทธบริษัทนั่นเอง’
ครับ...ถ้าพุทธบริษัทอันมี พระสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่ทำสิ่งใดโดยปราศจากสติ...
ความเสื่อมจักมาเยือนพุ ทธศาสนาโดยแท้
โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่กับโยมที่มี อำนาจวาสนา แต่ทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงเหตุ ผลมากกว่าสนองตัณหาของตนเอง
อย่าให้ผู้น้อยกล่าวได้ว่ายุคนี ้เป็นยุคกระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจมเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น