วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

พระอัญญาโกณฑัญญะ

พระอัญญาโกณฑัญญะ
ข้อมูลทั่วไป ชื่อเดิม: โกณฑัญญะ, โกณฑัญญะพราหมณ์
สถานที่เกิด: หมู่บ้านพราหมณ์โทณวัตถุ เมืองกบิลพัสดุ์
สถานที่บวช: ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
วิธีบวช: เอหิภิกขุอุปสัมปทา
สถานที่บรรลุธรรม: ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
เอตทัคคะ: เอตทัคคะในด้านรัตตัญญู (มีราตรีนาน คือบวชก่อนผู้อื่น)
สถานที่นิพพาน: บรรณศาลาริมสระฉัททันต์ ป่าหิมพานต์
สถานะเดิม ชาวเมือง: เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ
นามบิดา: พราหมณ์มหาศาล (ไม่ทราบนาม)
วรรณะเดิม: พราหมณ์
การศึกษา: จบไตรเพท
รู้ตำราทำนายลักษณะมหาบุรุษ
สถานที่รำลึก ชื่อสถานที่: ธรรมเมกขสถูป (สถานที่ได้ดวงตาเห็นธรรม),
ธรรมราชิกสถูป (สถานที่บรรลุพระอรหันต์) ภายในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
หรือสารนาถในปัจจุบัน
พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นหนึ่งใน ปัญจวัคคีย์ และพระอสีติมหาสาวกผู้เป็นเอตทัคคะในด้านรัตตัญญู คือเป็นผู้ รู้ธรรมก่อนใครในพระพุทธศานาและได้
บวชก่อนผู้อื่น
พระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว ไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาเท่าใดนัก เนื่องจากท่านทรงอายุพรรษากาลมากแล้ว ในช่วง 12 ปีสุดท้ายในบั้นปลายของท่าน ท่านได้
ไปพักจำพรรษาและได้นิพพานที่สระฉันทันต์ ป่าหิมพานต์
ในช่วงต้นพุทธกาล ชาติกำเนิดพระอัญญาโกณฑัญญะ เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ใน
หมู่บ้านโทณวัตถุ กรุงกบิลพัสดุ์ เดิมชื่อ "โกณฑัญญะ" เมื่อเจริญเติบโตขึ้นได้ศึกษาศิลปะวิทยาจบไตรเพทและเรียนมนต์ (วิชาการทำนายลักษณะอย่างเชี่ยวชาญ)

สาเหตุที่ได้เป็นเอตทัคคะ บุพกรรมในอดีตชาติ
พระอัญญาโกณฑัญญะตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็น
บุตรคหบดีมหาศาลชาวหงสวดี วันหนึ่ง เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม
เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู (แปลว่า ผู้รู้ราตรีนาน หมายถึงได้บวชก่อนใครได้รู้ได้ฟังมาก ) แล้ว เกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน 7 วัน วันสุดท้ายได้สั่งให้เปิดเรือนคลังเก็บผ้า นำผ้าเนื้อดีเลิศมาวางถวายไว้แทบยุคลบาทของพระพุทธเจ้าและ
ถวายพระสาวกแล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระองค์ ได้เป็นเหมือนภิกษุรูปที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเมื่อ 7 วันก่อนจากนี้ด้วยเถิด นั่นคือขอให้ได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้วได้รู้แจ้งธรรมก่อนใครหมด" พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูความเป็นไปในอนาคตของท่านด้วยพระญาณแล้วทรงเห็นว่าความ ปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่จึงทรงพยากรณ์ว่า
ในอีก 100,000 กัปข้างหน้าพระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็น
สาวกของพระองค์ จักได้รู้แจ้งธรรมก่อนใคร และจักได้รับตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู
ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างกำแพง
แก้วล้อมพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ครั้นถึง วันประดิษฐานพระเจดีย์ ก็ได้
สร้างเรือนแก้วไว้ภายในพระเจดีย์อีก จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ จนมา
ถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นบุตรของกฎุมพีชาวเมืองพันธุมดีมีชื่อว่า " มหากาล" มหากาลมีน้องชายชื่อ " จูฬกาล" (ในชาติสุดท้ายคือสุภัททะปริพาชก) ทั้ง 2 มีอุปนิสัยแตกต่างกัน กล่าวคือ มหากาลเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าวิปัสสี
แต่จูฬกาลกลับไม่เลื่อมใส ดังนั้น ทั้ง 2 จึงมีความเห็นขัดแย้งอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับ
การทำบุญมหากาลได้แบ่งนาออกเป็น 2 ส่วน โดยให้ส่วนหนึ่งเป็นสมบัติของตน และอีก
ส่วนหนึ่งนั้นเป็นสมบัติของจูฬกาล แล้วได้นำเอาผลิตผลที่เกิดจากนาส่วนของตนนั้นมาทำบุญ จนจวบสิ้นอายุขัยจากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภูมิต่างๆ การได้รับการยกย่องว่าเป็น
เอตทัคคะฝ่ายรัตตัญญู -ผู้รู้ราตรีนาน เมื่อมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปั
จจุบันท่านมาเกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลในหมู่บ้านพราหมณ์โทณวัตถุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองกบิลพัสดุ์ ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่ได้รู้แจ้งธรรมและบวชในพระพุทธศาสนาก่อนใคร พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะด้านรัตตัญญู ดังกล่าวมาแล้ว ฝ่ายพระปัญจวัคคีย์ที่เหลือ คือ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะและพระอัสสชิ ซึ่งมีอดีตชาติร่วมกับ พระอัญญาโกณฑัญญะ ตรงที่ตั้งจิตปรารถนาให้ได้
ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมก่อนใคร และปรารถนาจะบรรลุอรหัตตผลพร้อมกัน ก็ได้สิ่งที่ปรารถนาไว้คือ ได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมก่อนใคร และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน ในที่สุด
ความสำคัญในพระพุทธศาสนา ทำนายพระลักษณะพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะพระบิดา ได้เชิญพราหมณ์ 108 คน
มาเลี้ยงโภชนาหารในพระราชนิเวศน์ เพื่อทำพิธีทำนายพระลักษณะตามราชประเพณี ให้คัดเลือกพราหมณ์ผู้มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษจาก 108 คน เหลือ 8 คน และมีโกณฑัญญะอยู่ใน
จำนวน 8 คน นี้ด้วย ในบรรดาพราหมณ์ทั้ง 8 คนนั้น โกณฑัญญะมีอายุน้อยที่สุดจึงทำนายเป็น
คนสุดท้ายฝ่ายพราหมณ์ 7 คนแรก ได้พิจารณาตรวจดูพระลักษณะของสิทธัตถะอย่างละเอียด เห็นถูกต้องตามตำรามหาบุรุษลักษณะพยากรณ์ศาสตร์ ครบทุกประการแล้ว จึงยกนิ้วมือขึ้น 2 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์ในการทำนายเป็น 2 นัย เหมือนกันทั้งหมดว่า"พระราชกุมารนี้ ถ้าดำรงอยู่ในเพศฆราวาส จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ปราบปรามได้รับชัยชนะทั่วปฐพีมณฑล ถ้าออกบวชจัก ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลก แนะนำสั่งสอนเวไนยสัตว์ โดยไม่มีศาสดาอื่นยิ่งไปกว่า
ส่วนโกณฑัญญะพราหมณ์ ได้สั่งสมบารมีมาครบถ้วนตั้งแต่อดีตชาติ และมีความปัญญารู้มากกว่า ได้
พิจารณาตรวจดูพระลักษณะของพระกุมาร โดยละเอียดแล้ว ได้ ยกนิ้วขึ้นเพียงนิ้วเดียวเป็น
การยืนยันการพยากรณ์อย่างเด็ดเดี่ยวเป็นนัยเดียวเท่านั้นว่า "พระราชกุมาร ผู้ บริบูรณ์ด้วยมหาบุรุษลักษณะอย่างนี้ จะไม่อยู่ครองเพศฆราวาสอย่างแน่นอน จักต้องเสด็จออกบรรพชา และได้ตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมิต้องสงสัย" ออกบวชติดตามเจ้าชายสิทธัตถะ พระบรมโพธิสัตว์
ครั้นกาลเวลาล่วงเลยมาถึง 29 ปี เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบรรพชาโกณฑัญญะพราหมณ์
ทราบข่าวก็ดีใจ เพราะตรงกับคำทำนายของตน จึงรีบไปชวนบุตรของพราหมณ์ทั้ง 7 คนที่ร่วมทำนายด้วยกันนั้น โดยกล่าวว่า "บัดนี้ เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะเสด็จออกบรรพชาแล้ว พระองค์จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญเจ้าแน่นอน ถ้าบิดาของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะ
ออกบวชด้วยกันกับเรา ถ้าท่านทั้งหลายปรารถนาจะบวชก็จงบวชตามเสด็จพระมหาบุรุษพร้อม
กันเถิด" บุตรพราหมณ์เหล่านั้น ยอมออกบวชเพียง 4 คน คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ
โกณฑัญญะ จึงพามาณพทั้ง ๔ คนนั้น พร้อมทั้งตนด้วยรวมเป็น 5 ได้นามบัญญัติว่า "ปัญจวัคคีย์"
ออกบวชสืบเสาะติดตามถามหาพระมหาบุรุษไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนมาพบพระพุทธองค์กำลังบำเพ็ญความเพียรอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมด้วย ความมั่นใจว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างแน่นอน จึงพากันเข้าไปอยู่ เฝ้าทำกิจวัตรอุปัฏฐาก ด้วยการจัดน้ำใช้น้ำฉัน และ ปัดกวาดเสนาสนะ เป็นต้น ด้วยหวังว่าเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จะได้แสดงธรรมโปรดพวกตนให้รู้ตามบ้าง
เมื่อพระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างอุกฤษฏ์เป็น เวลาถึง 6 ปี ก็ยังไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณ จึงทรงพระดำริว่า "วิธีนี้คงจะไม่ใช่ทางตรัสรู้" จึงทรงเลิกละความเพียรด้วยวิธีทรมานกาย หันมาบำเพ็ญเพียรทางจิตเลิกอดพระกระยาหาร กลับมาเสวยตามเดิม เพื่อบำรุงพระวรกาย ให้แข็งแรงฝ่ายปัญจวัคคีย์ ผู้มีความเลื่อมใสในการปฏิบัติ แบบทรมานร่างกาย ครั้นเห็นพระโพธิสัตว์ละความเพียรนั้นแล้ว ก็รู้สึกหมดหวัง จึงพากันหลีกหนีทิ้งพระโพธิสัตว์ ให้ประทับอยู่ตามลำพังพระองค์เดียว พากันเที่ยวสัญจรไปพักอาศัยอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ครั้นพระโพธิสัตว์ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
ทรงดำริพิจารณาหาบุคคลผู้สมควรจะรับฟังพระปฐมเทศนา และตรัสรู้ตามได้ โดยเร็วในชั้นแรก พระองค์ทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้งสองที่พระองค์เคยเข้าไปศึกษา คือ อาฬารดาบสกาลามโคตร แต่ได้ทราบว่าท่านได้ถึงแก่กรรมไปได้ 7 วัน แล้วและอีกท่านหนึ่ง คือ อุทกดาบสรามบุตร แต่ก็ได้ทราบด้วย พระญาณ ว่าท่านเพิ่งจะสิ้นชีพไปเมื่อวันวานนี้เอง ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ทรงระลึกถึง ปัญจวัคคีย์ ผู้ซึ่ง
เคยมีอุปการคุณแก่พระองค์เมื่อสมัยทำทุกรกิริยา และทรงทราบว่าขณะนี้ท่านทั้ง 5 พักอาศัย อยู่ที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันทรงดำริดังนี้แล้ว จึงได้เสด็จพุทธดำเนินไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ฝ่ายปัญจวัคคีย์ นั่งสนทนากันอยู่เห็นพระพุทธองค์เสด็จมาแต่ไกลเข้าใจว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อแสวงหาผู้อุปัฏฐาก จึงทำกติกากันว่า "พระสมณโคดม นี้ คลายความเพียรแล้ว เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก พวกเราไม่ควรไหว้ ไม่ควรลุกขึ้นต้อนรับ ไม่รับบาตรและจีวรของพระองค์เลย เพียงแต่จัดอาสนะไว้
เมื่อพระองค์ปรารถนาจะประทับนั่งก็จงนั่งตามพระอัธยาศัยเถิด" ครั้นพระพุทธองค์เสด็จมาถึง ต่างพากัน
ลืมกติกาที่นัดหมายกันไว้กลับทำการต้อนรับเป็น อย่างดีดังที่เคยทำมา แต่ยังใช้ คำทักทายว่า "อาวุโส" และเรียกพระนามว่า "โคดม" อันเป็นถ้อยคำที่แสดงความไม่เคารพ ดังนั้น พระพุทธองค์ทรงห้ามแล้วตรัสว่า "อย่าเลย พวกเธออย่างกล่าวอย่างนั้น บัดนี้ ตถาคตได้บรรลุอมตธรรมเองโดยชอบแล้ว เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังเถิด เราจะแสดงให้ฟัง เมื่อเธอปฏิบัติตามที่เราสอนแล้ว ไม่นานก็จะบรรลุอมตธรรมนั้น" "อาวุโสโคดม แม้พระองค์บำเพ็ญอย่างอุกฤษฏ์เห็นปานนั้น ก็ยังไม่บรรลุธรรมพิเศษอันใด
บัดนี้พระองค์คลายความเพียรนั้นแล้ว หันมาปฏิบัติเพื่อความเป็นคนมักมากแล้ว จะบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร?"พระพุทธองค์ตรัสเตือนปัญจวัคคีย์ ให้ระลึกถึงความหลังว่า "ท่านทั้งหลายจำได้หรือไม่ว่า วาจาเช่นนี้ เราเคยพูดกับท่านบ้างหรือไม่" ปัญจวัคคีย์ ระลึกขึ้นได้ว่า พระองค์ไม่เคยตรัสมา ก่อนเลย จึง
ยินยอมพร้อมใจกันฟังพระธรรมเทศนาโดยเคารพ ได้รับฟังปฐมเทศนา พระพุทธองค์ ทรงประกาศพระสัพพัญญุตญาณแก่เหล่าปัญจวัคคีย์ โดยตรัส พระธรรมจักรกัปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา ซึ่งเนื้อความใน
พระธรรมเทศนานี้ พระพุทธองค์ทรงตำหนิหนทางปฏิบัติอันไร้ประโยชน์ 2 ทาง ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ
คือ
1. กามสุขัลลิกานุโยค การปฏิบัติที่ย่อหย่อนเกินไป แสวงหาแต่กามสุขอันพัวพันหมกมุ่ นแต่รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งเลวทราม เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน เป็นกิจของคนกิเลสหนา มิใช่ของพระอริยะ มิใช่ทางตรัสรู้หาประโยชน์มิได้
2. อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติตนให้ได้รับความลำบาก เคร่งครัดเกินไปกระทำตนให้ได้รับความ
ทุกข์ทรมาน เป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่า ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพ้น จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสชี้แนะวิธีปฏิบัติแบบ " มัชฌิมาปฏิปทา" คือ การปฏิบัติแบบกลาง ๆ ไม่ ย่อหย่อนเกินไปแบบประเภทที่หนึ่ง และไม่ตึงเกินไป แบบประเภทที่สอง ดำเนินตามทางสายกลางซึ่งเป็นข้อปฏิบัติ
ให้ถึงความดับทุกข์ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค คือทางอันประกอบด้วยองค์ 8 ประการ ได้แก่
1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ (ปัญญาเห็นในอริยสัจ 4)
2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ (ดำริออกจากกาม เบียดเบียนพยายาม)
3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ (เว้นจากวจีทุจริต 4)
4. สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ ( เว้นจากกายทุจริต 3)
5. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ (เว้นจาก เลี้ยงชีพในทางที่ผิด)
6. สัมมาวายามะ เพียรชอบ (เพียรละความชั่วทำความดี)
7. สัมมาสติ ระลึกชอบ (ระลึกในสติปัฏฐาน 4)
8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตไว้ชอบ (เจริญฌานทั้ง 4)
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน เกิดขึ้นแก่โกณฑัญญะว่า " สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา " พระพุทธองค์
ทรงทราบว่า โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันบุคคล ในพระพุทธศาสนาแล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานด้วยความพอพระทัยด้วยพระดำรัสว่า " อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ
โกณฺฑญฺโญ " ซึ่งแปลว่า "โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้ว หนอ" ด้วยพระพุทธดำรัสนี้ คำว่า "
อัญญา" จงเป็นคำนำหน้าชื่อของท่านโกณฑัญญะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนเป็น
ที่รู้ทั่วกันว่า พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา
เมื่อท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน แล้ว ท่านได้กราบทูลขออุปสมบท
พระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทให้ด้วยพระดำรัสว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด
ธรรมอันเรากล่าวดีแล้วเธอจงประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด" ด้วยพระวาจาเพียงเท่านี้ โกณฑัญญะ
ก็สำเร็จเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา นับว่าเป็นพระสงฆ์รูปแรกในโลก และ
การอุปสมบทด้วยวิธีนี้เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา วันต่อ ๆ มา ท่านที่เหลืออีก 4 คน ก็ได้
บรรลุเป็นพระโสดาบัน และอุปสมบทด้วยกันทั้งหมด
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าพระปัจวัคคีย์ มีญาณแก่กล้า พอที่จะ
บรรลุธรรมเบื้องสูง ได้แล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนา "อนัตตลักขณสูตร"
คือสูตรที่แสดงลักษณะแห่งเบญจขันธ์ว่า เป็นอนัตตาความไม่มีตัวตน
โปรดพระปัญจวัคคีย์เมื่อจบพระธรรมเทศนา ก็ได้ บรรลุพระอรหัตผล เป็น
พระ อเสขบุคคลด้วยกันทั้งหมด ขณะนั้นมีพระอรหันต์ เกิดขึ้นในโลก 6 องค์ รวม
ทั้งพระพุทธองค์ด้วย ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะด้านรัตตัญญู พระอัญญาโกณฑัญญะ
เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้วพระพุทธองค์ทรงส่งออกไปประกาศพระศ าสนาพร้อมกับพระสาวกรุ่นแรก จำนวน 60 รูป ท่านได้เดินทางไปยังบ้านเดิมของท่าน ได้นำหลานชายชื่อ ปุณณมันตานี ซึ่งเป็นบุตรของ
นางมันตานี ผู้เป็นน้องสาวของท่านมาบวช และได้มีชื่อว่า พระปุณณมันตานีบุตรเถระเพราะความ
ที่ท่านเป็นพระเถระ ผู้มีอายุพรรษากาลมาก มีประสบการณ์มาก จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่าภิกษุ ทั้งหลายในทาง ผู้รัตตัญญู หมายถึง ผู้รู้ราตรีนาน
บั้นปลายชีวิตพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระเถระผู้เฒ่า ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
ชอบหลีกเร้นอยู่ในสถานที่อันสงบวิเวกตามลำพัง ในคัมภีร์มโนรถปูรณี และคัมภีร์ธุรัตวิลาสินี
กล่าวไว้ตรง กันว่า เป็นเวลา 12 ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพานท่านได้ กราบทูลลาพระบรมศาสดาไปจำพรรษา
ณ ป่าหิมพานต์ ตามลำพัง นอกจากต้องการความสงบดังกล่าวแล้ว ยังมีเหตุผล ส่วนตัวของท่าน อีก 3 ประการคือ
1. ท่านไม่ประสงค์จะเห็นพระอัครสาวก คือ พระสารีบุตรเถระ และพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็น
กำลังสำคัญในการช่วยแบ่งเบาภาระของพระพุทธองค์ กิจการพระศาสนาด้านต่าง ๆ ที่ต้อง
มาแสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระผู้เฒ่าชราอย่างท่าน ซึ่งสังขารนับวัน จะร่วงโรยและใกล้แตกดับเข้า
ไปทุกขณะ
2. ท่านได้รับความเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ที่ต้องคอยต้อนรับผู้ไปมาหาสู่ ซึ่งมีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ การอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้านจึงไม่เหมาะสมสำหรับพระแก่ชราอย่างท่าน
3. ท่านเบื่อหน่ายในความดื้อรั้นของพระสัทธิวิหาริกรุ่นหลังๆ ที่มักประพฤตินอกลู่นอกทาง ห่างไกลจากการบรรลุมรรคผล

ท่านได้อยู่จำพรรษา ในป่าหิมพานต์ บริเวณใกล้สระฉัททันต์ เป็นเวลานาน 12 ปี วันที่ท่านจะนิพพาน
ท่านพิจารณาอายุสังขารแล้ว ได้มาเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อกราบทูลลานิพพาน
ครั้นพระพุทธองค์ประทานอนุญาตแล้วท่านเดินทางกลับยังป่าหิมพานต์ และนิพพานใน
บรรณศาลาที่พักริมสระฉัททันต์นั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วย พระสงฆ์สาวกจำนวนมาก ได้
เสด็จไปทำฌาปนกิจศพให้ท่าน
อ้างอิง
1. จำเนียร ทรงฤกษ์. (2542).
ชีวประวัติพุทธสาวก
ประวัติพระอัจฉริยะมหาเถระเมื่อครั้
งพุทธกาล เล่ม 1 - (โดย
สำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว
สาขาวัดปากน้ำ ). กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์ธรรมสภา
2. เว็บไซต์ 84000
3. เว็บไชต ธรรมะ เกตเวย์
4. บุพกรรมของพระอัญญาโกณฑัญ
ญะ จาก อรรถกถาธรรมบท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น