อนาถปิณฑิกเศรษฐี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก อนาถบิณฑิกเศรษฐี เกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี บิดาชื่อว่า “ สุมนะ” มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เมื่อเกิดมาแล้วบรรดาหมู่ญาติ ได้ตั้งชื่อให้ว่า “ สุทัตตะ ” เป็นคนมีจิตเมตตาชอบทำบุญให้ ทานแก่คนยากอนาถา
------------------------------ ------------------------------ --------------------ได้ชื่อใหม่เพราะให้ทาน
ได้ชื่อใหม่เพราะให้ทาน เมื่อบิดามารดาของท่านล่วงลั บไปแล้ว ได้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีแทน ให้ตั้งโรงทานที่หน้าบ้ านแจกอาหารแก่คนยากจนทุกวัน จนกระทั้งประชาชนทั่วไปเรียกท่ านตามลักษณะนิสัยวว่า < “ อนาถบิณฑิกะ ” ซึ่งหมายถึง “ ผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา ” และได้เรียกกับต่อมมาจนบางคนก็ ลืมชื่อดั่งเดิมของท่านไปเลย
ท่านอนาถปิณฑิกะ ทำการค้าขายระหว่างเมืองสาวัตถี กับเมืองราชคฤห์เป็นประจำ จนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกั บเศรษฐีเมืองราชคฤห์นามว่า “ ราชคหกะ” และต่อมาเศรษฐีทั้งสองก็มี ความเกี่ยวดองกันมากขึ้น โดยต่างฝ่ายก็ได้น้องสาวของกั บและกันมาเป็นภรรยา ดังนั้น เมื่ออนาถปิณฑิกะนำสินค้ นมาขายยังเมืองราชคฤห์จึงได้ มาพักอาศัยที่บ้ านของราชคหกเศรษฐี ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นทั้งน้ องเขยและทั้งพี่เมียอยู่เป็ นประจำ
------------------------------ ------------------------------ --------------------อนาถปิณฑิกเศรษฐีสำเร็ จพระโสดาบัน
อนาถปิณฑิกเศรษฐีสำเร็ จพระโสดาบัน อนาถปิณฑิกเศรษฐี ดำรงชีวิตในกรุงสาวัตถีโดยมิได้ ทราบข่าวเกี่ยวกับการเกิดขึ้ นแห่งพระพุทธศาสนาเลย จวบจนวันหนึ่งท่านได้นำสินค้ ามาขายยังเมืองราชคฤห์ และได้เข้าพักในบ้ านของราชคหกเศรษฐีตามปกติ แต่ในวันนั้น เป็นวันที่ราชคหกเศรษฐี ได้กราบทู ลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้ วยพระภิกษุสงฆ์เป็ นจำนวนมากมายมาเสวยและฉันภั ตตาการที่เรือนของตนในวันรุ่งขึ ้น
ราชคหกเศรษฐี มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานแก่ข้ าทาสบริวาร จึงไม่มีเวลามาปฏิสันถารต้อนรั บท่านอนาถปิณฑิกะเหมือนเช่นเคย เพียงแต่ได้ทักทายปราศัยเล็กน้ อยเท่านั้นก็สั่งงานต่อไป แม้ท่านอนาถปิณฑิกก็เกิ ดความสงสัยขึ้นเช่นกัน จึงคิดอยู่ในใจว่า “ ราชคหกเศรษฐี คงจะมีงานบูชายัญหรือไม่ก็ คงจะกราบทูลเชิญพระเจ้าพิมพิ สารเสด็จมายังเรือนของตนในวั นพรุ้งนี้ ”
เมื่อการสั่งงานเสร็จเรียบร้ อยแล้ว ราชคหกเศรษฐี จึงได้มีเวลามาต้อนรับพูดคุยกั บอนาถบิณฑิเศรษฐี และท่านอนาถปิณฑกะก็ได้ไต่ถามข้ อข้องใจสังสัยนั้น ซึ่งได้รับคำตอบว่า ที่มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานนั้ นก็เพราะได้กราบทูลอาราธนาพระพุ ทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มาเสวยและฉันภัตตาหารที่เรื อนของตนในวันพรุ้งนี้
อนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ฟังคำว่า “ พระพุทธเจ้า ” เท่านั้นเอง ก็รู้สึกแปลกประหลาดใจ จึงย้อนถามถึงสามครั้งเพื่อให้ แน่ใจ เพราะคำว่า “ พระพุทธเจ้า ” นี้เป็นการยากยิ่งนักที่จะได้ยิ นในโลกนี้ เมื่อราชคหกเศรษฐีกล่าวยืนยันว่ า “ ขณะนี้พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วในโลก ” จึงเกิดปิติและศรัทธาเลื่ อมใสอย่างแรงกล้า ปรารถนาจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ในทันทีนั้น แต่ราชคหกเศรษฐียับยั้งไว้ว่ามิ ใช่เวลาแห่งการเข้าเฝ้า จึงรอจนรุ่งเช้าก็รีบไปเข้าเฝ้ าก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปยั งบ้านราชคหกเศรษฐี ได้ฟังอนุปุพพิกถาและอริยสัจสี่ จากพระพุทธเจ้าแล้วได้ดวงตาเห็ นธรรมเป็นพระโสดาบันบุ คคลในพระพุทธศาสนาประกาศตนเป็ นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็ นสรณะตลอกชีวิต
------------------------------ ------------------------------ --------------------อนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างวัดถวาย
อนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างวัดถวาย อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ช่วยอังคาสถวายภัตตาหารแด่ พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ ครั้นเสร็จกิจแล้วได้กราบทู ลอาราธนาพระบรมศาสดาเพื่อเสด็ จไปประกาศพระศาสนายังเมืองสาวั ตถี พร้อมทั้งกราบทูลว่า จะสร้างพระอารามถวายที่เมื องสาวัตถีนั้น พระบรมศาสดาทรงรั บอาราธนาตามคำกราบทูล
อนาถบิณฑิกเศรษฐี รู้สึกปลาบปลื้มปิติยินดีเป็ นอย่างยิ่ง รีบเดินทางกลับสู่กรุงสาวัตถี โดยด่วน ในระหว่างทางจากกรุงราชคฤห์ถึ งกรุงสาวัตถี ระยะทาง ๕๕ โยชน์ ได้บริจากทรัพย์จำนวนมากให้สร้ างวิหารที่ประทับเป็นที่พักทุก ๆ ระยะหนึ่งโยชน์ เมื่อถึงกรุงสาวัตถีแล้วได้ติ ดต่อขอซื่อที่ดินจากเจ้ าชายเชตราชกุมาร โดยได้ตกลงราคาด้วยการนำเงินปู ลาดให้เต็มพื้นที่ตามที่ต้องการ ปรากฏว่าเศรษฐีใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ * เป็นค่าที่ดิน และอีก ๒๗ โกฏิ เป็นค่าก่อสร้างพระคันธกุฏิที่ ประทับของพระบรมศาสดา และเสนาสนะสงฆ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๔ โกฏิ แต่ยังขาดพื้นที่สร้างซุ้มประตู พระอาราม ขณะนั้น เจ้าชายเชตราชกุมารได้ แสดงความประสงค์ขอเป็นผู้จัดสร้ างถวาย โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ ที่ซุ้มประตูพระอาราม ดังนั้น พระอารามนี้จึงได้ชื่อว่า “ เชตวนาราม”
------------------------------ ------------------------------ --------------------เศรษฐีทำบุญจนหมดตัว
เศรษฐีทำบุญจนหมดตัว เมื่อการก่อสร้างพระอารามเสร็ จแล้ว ได้กราบทู ลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้ วยพระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าประทั บจัดพิธีฉลองพระอารามอย่ างมโหฬารนานถึง ๙ เดือน ( บางแห่งว่า ๕ เดือน ) ได้จัดถวายอาหารบิณฑบาตอันปราณี ตแด่พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพิธีฉลองพระอารามเสร็จสิ้ นลงแล้วได้กราบอาราธนาพระภิกษุ จำนวนประมาณ ๒๐๐ รูป ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนทุกวั นตลอดกาล
อนาคบิณฑิกเศรษฐี ทำบุญโดยทำนองนี้ ทั้งให้ทานแก่คนยากจน และการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ จนกระทั้งทรัยพ์สินเงินทองที่ เก็บสะสมไว้ลดน้อยลงไปโดยลำดับ ทรัพย์ที่หาได้มาใหม่ก็ไม่เท่ ากับจ่ายออกไป ภัตตาหารที่จัดถวายพระภิกษุสงฆ์ ก็ลดลงทั้งคุณภาพและปริมาณ จนในที่สุดข้าวที่หุงถวายพระก็ จำเป็นต้องใช้ข้าวปลายเกวียน กับข้าวก็เหลือเพียงน้ำผักเสี้ ยนดอง ตนเองก็พลอยอดยากลำบากไปด้วย ถึงกระนั้นเศรษฐีก็ยังไม่ ลดละการทำบุญถวายภัตตาหารแก่ พระภิกษุสงฆ์ ได้แต่กราบเรียนให้พระภิกษุสงฆ์ ทราบว่า ตนเองไม่สามารถจะจัดถวายอาหารอั นปราณีตมีรสเลิศเหมือนเมื่อก่ อนได้ เพราะขาดปัจจัยที่จะจัดหา พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นปุถุชนก็ พากันไปรับอาหารบิณฑบาตที่ตระกู ลอื่นที่ถวายอาหารมีรสเลิศกว่า
------------------------------ ------------------------------ --------------------เศรษฐีขับไล่เทวดา
เศรษฐีขับไล่เทวดา ขณะนั้น เทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจจฉาทิฏฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้ านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เลื่อมใสพุทธศานา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดิ นรอดซุ้มประตูเข้าออกทุกวัน เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดิ นรอดซุ้มประตูนั้นตนไม่ สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้ เมื่อเห็นเศรษฐีกลับกลายมี ฐานะยากจนลงเพราะทำบุญแก่ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงปรากฏกายต่อหน้าท่านเศรษฐี กล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทำบุ ญเสียเถิด แล้วทรัพย์สินเงินทองก็จะเพิ่ มพูนขึ้นเหมือนเดิม ท่านเศรษฐีจึงถามว่า :-
ท่านเป็นใคร ?”
ข้าพเจ้าเป็นเทวดา ผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรื อนของท่าน ”
“ ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคำพูดของท่าน ขอท่านจงออกไปจากซุ้มประตูเรื อนของเรา อย่ามาให้ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอั นขาด ”
เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ้มประตูเรื อนของเศรษฐีได้อีกต่อไป กลายเป็นเทวดาไร้ที่สิงสถิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่ าตนให้ช่วยเหลือ แต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่ วยได้ เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า “ ทรัพย์เก่าของเศรษฐีจำนวน ๘๐ โกฏิ ซึ่งใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่ งแม่น้ำถูกน้ำเซาะตลิ่งพั งหายไปในสายน้ำ ท่านจงไปนำทรัพย์เหล่านั้นกลั บคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี แล้วท่านเศรษฐีก็ จะหายโกรธยกโทษให้ และอนุฐาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้ มประตูบ้านดังเดิมได้ ”
เทวดาทำตามนั้น ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้ เศรษฐีด้วยอำนาจฤทธิ์เทวดา เมื่อเศรษฐียกโทษให้แล้วได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป
------------------------------ ------------------------------ --------------------ต้นแบบการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย
ต้นแบบการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย พุทธบริษัทผู้ใฝ่บุญนั้น ย่อมปราาภเหตุเล็ก ๆ น้อย ขึ้นมาเป็นเรื่องทำบุญได้เสมอ เช่นเรื่องของอนาถบิณฑิกเศรษฐี นี้ วันหนึ่งหลานของท่านเล่นตุ๊ กตาที่ทำจากแป้งแล้วหล่นลงแตก หลานร้องไห้ด้วยความเสียดายตุ๊ กตา เพราะไม่มีตุ๊กตาจะเล่น ท่านเศรษฐีได้ปลอบโยนหลานว่า:-
ไม่เป็นไร เราช่วยกับทำบุญอุทิศส่วนกุ ศลไปให้ตุ๊กตากันเถิด ” ปรากฏว่าหลานหยุดร้องไห้ รุ่งเช้า ท่านจึงพาหลานช่วยกันทำบุญเลี้ ยงพระแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุ ศลไปให้ตุ๊กตา
การทำบุญอุทิศไปให้ตุ๊กตาของท่ านเศรษฐี แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนชาวพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเป็นเรื่องแปลกและเป็นสิ่ งที่ควรกระทำ ดังนั้น เมื่อญาติผู้เป็นที่รั กของตนตายลงก็พากันทำบุญอุทิศส่ วนกุศลไปให้เหมือนอย่างท่ านเศรษฐีกระทำนั้น และถือปฏิบัติกันอย่างแพร่ หลายสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
------------------------------ ------------------------------ --------------------มอบภารกิจของตนให้ลูกหลาน
มอบภารกิจของตนให้ลูกหลาน ตามปกติทุก ๆ วัน ภิกษุทั้งหมดผู้อยู่ในกรุงสาวั ตถีจะรับนิมนต์เพื่อฉันภั ตตาหารในบ้านของอนาถปิณฑิ กเศรษฐี และในบ้านของนางวิสาขาดังนั้น บุคคลอื่น ๆ ผู้ประสงค์จะถวายทานแก่ภิกษุ สงฆ์ก็ต้องมาขอโอกาสแก่ท่านทั้ งสองนี้ ทั้งนี้ ก็เพราะท่านทั้งสองทราบดีว่ าควรประกอบควรปลุงอาหารอย่ างไรให้ต้องกับอัธยาศัยและวินั ยของพระ ควรจัดสถานที่อย่างไรจึ งจะเหมาะสม นอกจากนี้ก็เพื่อเป็นสิริ มงคลแก่เจ้าของบ้านเรือนที่จั ดงานอีกด้วย ดังนั้นท่านทั้งสองจึงไม่ค่อยมี เวลาอยู่ปฏิบัติเลี้ยงดูพระภิ กษุที่นิมนต์มาฉันที่บ้านของตน นางวิสาขาจึงได้มอบหมายภารกิ จหน้าที่นี้แก่หลานสาว
ส่วนอนาถบิณฑิกะ ได้มอบหมายให้แก่ลูกสาวคนโตชื่ อว่า “ มหาสุภัททา” นางได้ทำหน้าที่นี้อยู่ระยะหนึ่ ง ได้ฟังธรรมจากพระคุณเจ้าแล้วได้ บรรลุเป็นพระโสดาบัน ต่อมาได้แต่งงานแล้วติดตามไปอยู ่ในสกุลของสามี
จากนั้นอนาถบิณฑิกะก็ได้ มอบหมายให้ลูกสาวคนที่สองชื่อว่ า “ จุลสุภัททา ” นางก็ทำหน้าที่แทนบิดาด้วยดี โดยตลอด และก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบั นเช่นกัน ต่อจากนั้นไม่นาน นางก็ได้แยกไปอยู่กับครอบครั วของสกุลสามี อนาถปิณฑิกะจึงได้มอบหน้ที่ให้ ลูกสาวคนเล็กชื่อว่า “ สุมนาเทวี ” กระทำเเทนสืบมา
------------------------------ ------------------------------ --------------------ลูกสาวป่วยเรียกบิดาว่าน้องชาย
ลูกสาวป่วยเรียกบิดาว่าน้องชาย สุมนาเทวี ทำหน้ที่ด้วยความขยันเข้มเข็ง งานสำเร็จด้วยความเรียบร้อยทุ กวัน ทั้ง ๆ ที่นางยังอายุน้อย จากการที่นางได้ทำบุญถวายภั ตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์และได้ฟั งธรรมเป็นประจำนางก็ได้บรรลุเป็ นพระสกทาคามี แต่ต่อมานางได้ล้มป่วยลงมี อาการหนัก ใคร่อยากจะพบบิดา จึงให้คนไปเชิญบิดามา
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ทราบว่าลูกสาวป่วยหนักรี บมาเยี่ยมโดยเร็ว พอมาถึงได้ถามลูกสาวว่า:-
“ แม่สุมนา เจ้าเป็นอะไร?”
“ อะไรเล่าน้องชาย ?” ลูกสาวตอบ
“ เจ้าเพ้อหรือ แม่สุมนา? ” บิดาถาม
“ ไม่เพ้อหรอก น้องชาย ” ลูกสาวตอบ
“ แม่สุมนา ถ้าอย่างนั้น เจ้ากลัวหรือ ? ” บิดาถาม
“ ไม่กลัวหรอกน้องชาย ”
นางสุมนาเทวี พูดโต้ตอบกับบิดาได้เพียงเท่านั ้นก็ถึงแก่กรรม
------------------------------ ------------------------------ --------------------พระโสดาบันร้องไห้ไปกราบทู ลพระศาสดา
พระโสดาบันร้องไห้ไปกราบทู ลพระศาสดา ท่านเศรษฐี แม้จะเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่อาจจะกลั้นความเศร้าโศกเสี ยใจเพราะการจากไปของธิดาได้ เมื่อเสร็จงานศพแล้วได้ร้องไห้ น้ำตานองหน้าไปเข้าเฝ้ าพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ได้ตรัสปลอบว่า:-
“ อนาถบิณฑิกะ ก็ความตายเป็นสิ่งเที่ยงแท้ ของสรรพสัตว์มิใช่หรือ เหตุไฉนท่านจึงร้องไห้อย่างนี้? ”
“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นข้าพองค์ทราบดี แต่นางสุมนาเทวีธิดาของข้าพองค์ เมื่อใกล้เวลาจวนจะตาย นางไม่สามารถคุมสติได้เลย นางบ่นเพ้อจนกระทั้งตาย ข้าพองค์โทมนัสร้องไห้เพราะเหตุ นี้ พระเจ้าข้า ”
พร้อมทั้งได้กราบทูลถ้อยคำที่ นางสุมนาเทวีเรียกตนเองว่าน้ องชาย ถวายให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้สดับแล้วตรั สว่า:-
“ ดูก่อนมหาเศรษฐี ธิดาของท่านมิได้เพ้อหลงสติอย่ างที่ท่านเข้าใจ แต่ที่นางเรียกท่านว่าน้องชายนั ้น ก็เพราะท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน แต่ธิดาของท่านเป็นพระสกทาคามี เป็นอริยบุคคลสูงกว่าท่าน และบัดนี้ นางได้ไปเกิดเสวยสุขอยู่ บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว นี่แหละคฤหบดี ธรรมดาบุคคลไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิตก็ตาม ถ้าอยู่ด้วยความประมาท ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ก็ย่อมเสวยสุขเพลิดเพลินทั้ งในโลกนี้และโลกหน้า ”
อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ฟังพระพุ ทธดำรัสแล้วหายจากความเศร้ าโศกเสียใจ กลับได้รับความปีติเอิบอิ่มใจขึ ้นมาแทน เมื่อควรแก่เวลาแล้วก็กราบทู ลลากลับสู่เคหสถานของตน
เพราะความที่อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ที่มีศรัทธามั่นคงไม่หวั ่นไหวฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทาน ไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่ านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกททั้งหลาย ในฝ่าย ผู้เป็นทายก.
------------------------------ ------------------------------ --------------------
* ในมโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกายว่า ค่าที่ดินและก่อสร้างอย่างละ ๑๘ โกฏ ใช้ในการฉลองวิหาร อีก ๑๘ โกฏ รวมทั้งหมด ๕๔ โกฏ.
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก อนาถบิณฑิกเศรษฐี เกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี บิดาชื่อว่า “ สุมนะ” มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เมื่อเกิดมาแล้วบรรดาหมู่ญาติ
------------------------------
ได้ชื่อใหม่เพราะให้ทาน เมื่อบิดามารดาของท่านล่วงลั
ท่านอนาถปิณฑิกะ ทำการค้าขายระหว่างเมืองสาวัตถี
------------------------------
อนาถปิณฑิกเศรษฐีสำเร็
ราชคหกเศรษฐี มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานแก่ข้
เมื่อการสั่งงานเสร็จเรียบร้
อนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ฟังคำว่า “ พระพุทธเจ้า ” เท่านั้นเอง ก็รู้สึกแปลกประหลาดใจ จึงย้อนถามถึงสามครั้งเพื่อให้
------------------------------
อนาถปิณฑิกเศรษฐีสร้างวัดถวาย อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ช่วยอังคาสถวายภัตตาหารแด่
อนาถบิณฑิกเศรษฐี รู้สึกปลาบปลื้มปิติยินดีเป็
------------------------------
เศรษฐีทำบุญจนหมดตัว เมื่อการก่อสร้างพระอารามเสร็
อนาคบิณฑิกเศรษฐี ทำบุญโดยทำนองนี้ ทั้งให้ทานแก่คนยากจน และการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ จนกระทั้งทรัยพ์สินเงินทองที่
------------------------------
เศรษฐีขับไล่เทวดา ขณะนั้น เทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจจฉาทิฏฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้
ท่านเป็นใคร ?”
ข้าพเจ้าเป็นเทวดา ผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรื
“ ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคำพูดของท่าน ขอท่านจงออกไปจากซุ้มประตูเรื
เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ้มประตูเรื
เทวดาทำตามนั้น ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้
------------------------------
ต้นแบบการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย พุทธบริษัทผู้ใฝ่บุญนั้น ย่อมปราาภเหตุเล็ก ๆ น้อย ขึ้นมาเป็นเรื่องทำบุญได้เสมอ เช่นเรื่องของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ไม่เป็นไร เราช่วยกับทำบุญอุทิศส่วนกุ
การทำบุญอุทิศไปให้ตุ๊กตาของท่
------------------------------
มอบภารกิจของตนให้ลูกหลาน ตามปกติทุก ๆ วัน ภิกษุทั้งหมดผู้อยู่ในกรุงสาวั
ส่วนอนาถบิณฑิกะ ได้มอบหมายให้แก่ลูกสาวคนโตชื่
จากนั้นอนาถบิณฑิกะก็ได้
------------------------------
ลูกสาวป่วยเรียกบิดาว่าน้องชาย สุมนาเทวี ทำหน้ที่ด้วยความขยันเข้มเข็ง งานสำเร็จด้วยความเรียบร้อยทุ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ทราบว่าลูกสาวป่วยหนักรี
“ แม่สุมนา เจ้าเป็นอะไร?”
“ อะไรเล่าน้องชาย ?” ลูกสาวตอบ
“ เจ้าเพ้อหรือ แม่สุมนา? ” บิดาถาม
“ ไม่เพ้อหรอก น้องชาย ” ลูกสาวตอบ
“ แม่สุมนา ถ้าอย่างนั้น เจ้ากลัวหรือ ? ” บิดาถาม
“ ไม่กลัวหรอกน้องชาย ”
นางสุมนาเทวี พูดโต้ตอบกับบิดาได้เพียงเท่านั
------------------------------
พระโสดาบันร้องไห้ไปกราบทู
“ อนาถบิณฑิกะ ก็ความตายเป็นสิ่งเที่ยงแท้
“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นข้าพองค์ทราบดี แต่นางสุมนาเทวีธิดาของข้าพองค์ เมื่อใกล้เวลาจวนจะตาย นางไม่สามารถคุมสติได้เลย นางบ่นเพ้อจนกระทั้งตาย ข้าพองค์โทมนัสร้องไห้เพราะเหตุ
พร้อมทั้งได้กราบทูลถ้อยคำที่
“ ดูก่อนมหาเศรษฐี ธิดาของท่านมิได้เพ้อหลงสติอย่
อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ฟังพระพุ
เพราะความที่อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ที่มีศรัทธามั่นคงไม่หวั
------------------------------
* ในมโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกายว่า ค่าที่ดินและก่อสร้างอย่างละ ๑๘ โกฏ ใช้ในการฉลองวิหาร อีก ๑๘ โกฏ รวมทั้งหมด ๕๔ โกฏ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น