เมื่อหมอแนะนำให้ทำแท้ง
เมื่อหมอแนะนำให้ทำแท้ง ความเปลี่ยนแปลงของอนาคต มิอาจกำหนดได้ภายในเวลาที่ตายตัว...เพียงแต่คาดการณ์ใกล้เคียงว่าจะเกิด เรื่องราวดีหรือร้ายเป็นเช่นไร เหมือนดังที่เราได้ยินเรื่องราวของ...คุณปิยพันธ์ – คุณอัจฉรา พ่อแม่ในโครงการจิตประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์
เมื่อ 6 เดือนก่อน เส้นทางชีวิตของคุณอัจฉรา เปลี่ยนจากเส้นตรงที่เคยเดินมาสู่ทางคดเคี้ยวของชีวิต เมื่อเริ่มตั้งท้องลูกคนที่สาม เธอจำได้เสมอว่าเงาสีดำได้พาดผ่านตัวเธอ จนทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องมาแบกรับทุกข์อย่างมากมายที่เกิดขึ้นในใจของเธอ โดยเฉพาะสามีที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก แต่เมื่อเธอรับรู้ถึงความรัก ความห่วงใยของคนในครอบครัว ที่เฝ้ารอคอยให้เธอหวนกลับมาลุกขึ้นยืนสู้ได้อีกครั้ง เธอจึงมุ่งมั่นที่จะหันมาเผชิญหน้ากับความจริงที่ต้องรู้
คุณอัจฉรา “ดิฉันรับประทานยาแก้สิว โดยไม่รู้ตัวมาก่อนว่าตนเองกำลังตั้งท้องลูกคนที่สาม...คุณหมอบอกว่า ผลของยาสร้างผลกระทบให้กับลูกที่อยู่ในท้อง หมอบอกว่าเด็กอาจจะพิการได้ นอกจากนั้นคุณหมอยังตรวจพบเนื้องอก และซีดในมดลูก เนื้องอกอาจโตขึ้นและเบียดทารก ทำให้คลอดก่อนกำหนดได้ สุดท้าย คุณหมอแนะนำตามทฤษฎีว่า ‘ควรทำแท้ง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ว่า ถ้าไม่ทำแท้ง เมื่อคลอดออกมาจะยอมรับความผิดปกติของเด็กได้หรือไม่’ และดิฉันได้ปรึกษาคุณหมออีก หลายท่าน เกือบทุกคนลงความเห็นคล้ายๆ กัน ..ดิฉันมีความรู้สึกผิดต่อลูก เกิดขึ้นในจิตใจอย่างมาก คิดแต่ว่าไม่ควรรับประทานยาแก้สิว’
ดิฉันไม่ต้องการสูญเสียเขาไป ไม่ต้องการให้สิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับเขา แต่ถ้าต้องเกิดขึ้น...เป็นเพราะตัวดิฉันเอง ดิฉันได้แต่โทษตัวเองตลอดช่วงเวลาแห่งความทุกข์ใจที่เกิดขึ้น บนการตัดสินใจที่จะต้องเลือกระหว่างให้เขาได้มีลมหายใจอยู่ในตัวของดิฉัน หรือจะให้เขาไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวบนโลกใบนี้ ดิฉันวนเวียนเฝ้ามองเฝ้าคิดแต่จะลงโทษตนเอง จนมองไม่เห็นสายตาอีกสามคู่ที่อยู่รอบตัวเรา คือ สามี และลูกน้อยอีกสองคน
ความทุกข์มิได้เกาะกินเพียงแค่ตัวดิฉันแล้ว แต่มันไหลผ่านไปถึงบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง...แล้วในที่สุดเราทั้งห้าคนรวม ถึงลูกน้อยที่อยู่ในท้อง ได้มาที่เสถียรธรรมสถาน มาขอแนวทางรอดให้กับชีวิตจากคุณแม่ศันสนีย์ เสถียรสุต ภายใต้กำลังใจของสามีที่เป็นเหมือนเสาหลักของครอบครัวในยามนั้น”
วันนี้ด้วยหน้าที่ของคำว่า “แม่คนใหม่” ที่ได้ขัดเกลาจิตใจจากโครงการจิตประภัสสรในเสถียรธรรมสถาน เธอและครอบครัวได้ก้าวเดินออกจากเงาสีดำ ด้วยการเดินตามรอยเท้าของคุณแม่ศันสนีย์ เสถียรสุตที่ก้าวย่างนำไว้
คุณอัจฉรา “ต้องขอขอบคุณ ท่านแม่ชีกาหลง ท่านอยู่ที่หอประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและท่านทราบความทุกข์ใจของเรา จึงแนะนำให้เข้าร่วมโครงการจิตประภัสสรฯ และ ได้พบกับท่านแม่ชีศันสนีย์ ในโครงการนี้ เราไม่เพียงได้รับความรู้เรื่องการเตรียมตัวระหว่างการตั้งครรภ์ เข้าใจสภาวะเด็กที่อยู่ในครรภ์ จากอาสาสมัครที่เป็นสูตินารีแพทย์ที่มีชื่อเสียง ยังได้เรียนรู้การทำสมาธิ การเดินจงกรม และคำสอนธรรมมะ ทุกอย่างมีผลดีต่อลูกในครรภ์และมีประโยชน์ต่อคุณแม่
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณคุณแม่ศันสนีย์ ที่ให้ความสำคัญกับแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และ ทุกปัญหาของคนกำลังตั้งครรภ์ การได้พูดคุยเหมือนกับการปรับทุกข์กัน กำลังใจจากท่านเหมือนน้ำชโลมจิตใจ ที่กำลังทุกข์ ให้มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และท่านสอนให้เราคิดบวก ไม่ตกอยู่ในความทุกข์นาน ไม่จมกับมันนาน ให้ใช้สติ ให้นึกถึงอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในครรภ์ หากเราทำจิตใจให้สงบ สบายใจ ไม่เครียด ก็จะส่งผลถึงลูกด้วย ท่านยังสอนถึงความรักที่พ่อต้องมีต่อแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ว่าควรปฎิบัติอย่างไร
ดิฉันทำตามที่ท่านแนะนำ ไม่คิดมากอีกต่อไป สวดมนต์ทำวัตรเช้า และ ทำวัตรเย็น ดิฉันรอคอยการตรวจอัลตราซาวด์ ในช่วง 4-5 เดือน การตรวจ 2 ครั้งที่ผ่านมาได้รับผลว่าเค้ามีร่างกายเป็นปรกติ แม้ว่าจะไม่เห็นบางส่วนก็ตาม แต่ดิฉันและสามีก็มีกำลังใจดีมากขึ้น ถึงแม้ปัจจุบันจะมีอาการเจ็บด้านข้างท้องบ้าง10-15 นาที บ่อยขึ้น คุณหมอไม่อยากให้ดิฉันตรวจเอ็กซเรย์อะไรทั้งสิ้นจึงไม่แน่ใจว่าเป็นผลจาก เนื้องอกและซีดหรือไม่ คุณหมอเพียงแต่ไม่ให้ดิฉันกังวลกับเรื่องนี้ ให้พักผ่อนมากๆ รอให้คลอดน้องออกมาเรียบร้อยก่อน
ดิฉันเฝ้ารอการเกิดอีกชีวิตหนึ่ง โดยใช้หลักธรรมมาเป็นหลักปฎิบัติและยึดเหนี่ยวในการดำรงชีวิต โดยมีหลักว่า ถ้าเราคิดดี ทำดี มีธรรมในจิตใจ สิ่งดีดีก็จะตามมา สุดท้ายนี้ดิฉันคิดว่า ปัญหาทุกปัญหา เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา และจะทำให้เราเป็นคนเข้มแข็งขึ้น”
ที่มา : http://www.sdsweb.org/index.php?option=com_content&view=article&id=116:2010-09-05-13-21-32&catid=43:2010-09-03-05-00-30&Itemid=148
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น