วิธีเจริญเมตตา
1. เราต้องเข้าใจก่อนว่าเหตุการณ์
2. พยายามเข้าใจ เห็นอกเห็นใจเขาว่า เขาก็กำลังทุกข์เหมือนเราเหมื
3. เริ่มฝึกเจริญสติ ปัญญา เมื่อกระทบอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ และกำลังจะเกิดอารมณ์ เสียอารมณ์ รีบตั้งสติ หายใจลึกๆ ซ้ำๆ เป็นจังหวะๆ จะเริ่มรู้สึกตัวขึ้น ทำให้ต่อเนื่องกัน ไม่ให้คิดจองเวรคิดอาฆาตพยาบาท คิดบ่น คิดเบียดเบียน ให้ระงับอารมณ์ ถ้าคิดก็คิดสอนใจตัวเอง ให้รู้จักคิดถูก ฝึกสติ ฝึกปัญญาในการแก้ปัญหาอย่างนี้
4. ฝึกสมาธิเช้าเย็น 10-15 นาที ทำบ่อยๆ ในวันหนึ่ง ตื่นเช้า หลังจากกินอาหารเช้า ในรถ ก่อนทำงาน หลังเลิกงาน ก่อนโทรศัพท์สำคัญ เมื่อเกิดอารมณ์เสีย เป็นต้น ตั้งใจไม่โกรธ รักษาใจระวังใจในเหตุการณ์ที่
5. เจริญวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ซึ่งเป็นองค์ฌาน 5
- วิตกในสมาธิ หมายความว่า นึกๆๆ อารมณ์กรรมฐานอย่างเดียว เช่น ความรู้สึกที่ลมสัมผัสที่เกิดขึ
- ถ้าเกิดวิตก ตั้งสติติดต่อกัน ไม่ช้าก็จะเกิดวิจาร วิจารในที่นี้ คือ รู้สึกตัว รู้ว่าหายใจยาว สั้น เบา หนัก ร้อน เย็น เป็นต้น ความรู้สึกตัวนี้เป็นกำลังผูกมั
- พยายามเจริญสมาธิ จนสัมผัสความสุขในสมาธิบ่อยๆ เมื่อเรารักษาความสุขทางใจได้นั
สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงมี
ถ้าเข้าใจเรื่องกรรมตามความเป็
เมตตาก็ถาวร เป็นเมตตาที่แท้จริง
• เมตตาภาวนา •
อานิสงส์ของการเจริญเมตตาภาวนา
1. หลับเป็นสุข
2. ตื่นเป็นสุข
3. ไม่ฝันร้าย
4. อมนุษย์รักใคร่
5. มนุษย์ทั้งหลายรักใคร่
6. เทวดาทั้งหลายย่อมคุ้มครอง
7. ไฟ ศาสตราวุธ ยาพิษ ไม่อาจกล้ำกลาย
8. ผิวหน้าย่อมผ่องใส
9. จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิเร็ว
10. เมื่อตายเป็นผู้ไม่หลง
11. เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไปบังเกิดในพรหมโลก
เมื่อเจริญเมตตาภาวนาบ่อยๆ จะมีอานิสงส์ช่วงระงั
ให้เจริญเมตตาให้กับตัวเองก่
ให้พยายามรักษาใจให้สงบนิ่ง กำหนดรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า สักพักหนึ่ง
• การแผ่เมตตาให้กับตัวเอง •
อะหังสุขิโตโหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข
ยกขึ้นมาพิจารณาทุกครั้งที่รู้
ความสุขอยู่ที่ไหน ความสุขไม่ใช่อยู่ที่อารมณ์โกรธ หรือเมื่อเราได้
โกรธคนอื่น เราโกรธเขา เขาก็เป็นทุกข์เหมือนเรา หรือทุกข์มาก
กว่าเรานั่นแหละ เขาก็กำลังแก่ กำลังเจ็บไข้ ป่วย กำลังจะตาย
เหมือนเรานั่นแหละ
เขาก็กำลังประสบกับความเสื่
กับเรา เพราะ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วดับไป
ในที่สุด ไม่แน่นอน ไม่คงอยู่ได้
ความสุขอยู่ที่การปล่อยวางสิ่
ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ถอนจิต ถอนใจอุปาทาน
จากอารมณ์โกรธ น้อมเข้ามาๆ ให้จิตพักอาศัยอยู่ที่ลมหายใจ
เอาลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร
หายใจเข้ายาวๆ สบายๆ หายใจออกช้าๆ ลึกๆ หน่อย
หายใจเข้ายาวๆ สบายๆ หายใจออก สบายๆ ภาวนาว่า
ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ถึงสุข หายใจเข้า
หายใจออก สบายๆ แล้วพิจารณาต่อว่า
นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไร้ทุกข์
ความชั่วร้ายของเขา เป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ต้องไปคิด
ไปเกาะติดยึดมั่นถือมั่น แบกเอาไว้
ความชั่วของใครก็เป็นของร้อนเป็
ก็เดือดร้อน เป็นทุกข์เมื่อนั้น
ถึงแม้ว่า เขาผิดจริงก็ตาม ผู้มีปัญญา ผู้หวังความสุข ไม่เอามาคิด
เป็นอารมณ์ ให้ระวังๆ แล้วพิจารณาต่อว่า
อะเวโรโหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีเวร
ตรวจตราดูความรู้สึกภายในใจตั
ของเรา ว่ามีเวรหรือไม่
จองเวรเขา ก็เหมือนจองเวรตัวเอง ทำให้จิตเศร้าหมอง
“เวรไม่ระงับด้วยการจองเวร เวรระงับด้วยการไม่จองเวร”
ถ้าเราต้องการความสุข เราต้องเป็นผู้ไม่มีเวร ให้ระงับความรู้สึก
นึกคิดจองเวรใครๆ ออกไปจากภายในใจของเรา
ให้อภัย อโหสิกรรมแก่ทุกคน ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ชำระความรู้สึก ความนึกคิดจองเวรให้หมดไปๆ เอาลมหายใจเป็น
กัลยาณมิตร หายใจเข้า หายใจออก สบายๆ แล้วพิจารณาต่อ
อัพยาปัชโฌโหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่เบี
ตรวจตราภายในใจดูว่า มีความรู้สึกนึกคิดเบียดเบี
ถ้าเขาคิดอย่างนี้กับเรา พูดอย่างนี้กับเรา ทำอย่างนี้กับเรา
เราจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเราไม่สบายใจ เราก็ไม่น่าคิดกับเขาอย่างนั้น
รักษาใจ ไม่ให้หวั่นไหวต่ออารมณ์พอใจ และไม่พอใจที่มากระทบ
จงสร้างเกาะไว้เป็นที่พึ่งด้วย สติ สัมปชัญญะ ปัญญา สมาธิ
หิริโอตตัปปะ และขันติ คือความอดทน รวมกันไว้ที่ลมหายใจเข้า
ลมหายใจออก ไม่ให้เกิดทุกข์ ไม่ให้มีทุกข์ ไม่ให้เบียดเบียนใคร
ทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
สุขีอัตตานัง ปะริหะรามิ จงรักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด
ให้ระลึกถึงปีติสุขทุ
รู้เฉพาะปีติสุข หายใจเข้า รู้เฉพาะปีติสุข หายใจออก
ให้หัวใจของเรานี้เต็มไปด้วยปี
การแผ่เมตตานี้ ต้องแผ่เมตตาให้แก่ตัวเองก่อน จนให้เกิดความสุขใจ
การจะให้เกิดความสุขใจนั้นต้
ด้วยอำนาจสมาธิ จิตสามารถยังปีติสุขให้เกิดได้ และต้องใช้ปัญญา
เห็นโทษของการคิดผิด คิดเบียดเบียน ฯลฯ ให้ระงับความคิด
เหล่านั้นด้วยสติปัญญาจึงจะเกิ
• การแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ •
สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็
เมื่อใจเรามีความสุข มีเมตตา มีความรู้สึกรักใคร่ ปรารถนาดี
มีความรักที่บริสุทธิ์ ให้แผ่ความรัก ความเมตตาที่บริสุทธิ์กระจาย
ออกไปจากหัวใจของเราไปยังสรรพสั
วิธีแผ่เมตตา มี 2 วิธี คือ
วิธีที่ 1. อาศัยนิมิต วิธีที่ 2. ไม่มีนิมิต
อาศัยนิมิต เมื่อใจเราเต็มไปด้วยความสุขแล้
ลมหายใจเข้า ให้นึกมโนภาพถึงคนที่เราตั้
หน้าหรือไว้ที่หัวใจ นึกมโนภาพ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส กำลังมีความสุข
ของเขาและส่งกระแสเมตตาจิตไป ทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
เริ่มต้นจากคนใกล้ชิดตัวเราที่
เพื่อนรัก เพื่อนร่วมงาน เป็นต้น ต่อไปก็คนที่เป็นกลางๆ ไม่รัก ไม่ชัง
ค่อยๆ แผ่ไปๆ ทีละคน ทีละกลุ่ม
ต่อไปก็ถึงคนที่เรากำลังมีปั
ปรารถนาดีต่อเขา ขอให้เขาจงมีความสุขเถิด ขอให้ไม่มีเวรซึ่งกัน
และกันเถิด ขอให้เราอย่าเบียดเบียนซึ่งกั
ไม่มีนิมิต เมื่อเราพร้อมแล้ว เรามีปีติและสุข ทุกลมหายใจออก
ลมหายใจเข้าแล้ว สัพเพสัตตา สุขิตาโหนตุ ขอสัตว์ทั้งหลาย
ทั้งปวง จงเป็นผู้ถึงความสุข พยายามทำความรู้สึกที่ดี
ความปรารถนาดี ความรักที่บริสุทธิ์ แผ่ออกไปรอบๆ ตัวเรา
ทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
พยายามนึกไปกว้างๆ ไกลๆ คลุมไปทั่วโลก ทั่วจักรวาล มีแต่ความ
สุข ทุกลมหายใจออก - เข้า สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ หายใจออก
เต็มไปด้วยความสุข หายใจเข้าเต็มไปด้วยความสุข
กามวิตก พยาบาทวิตก หิงสาวิตก เป็นศัตรูต่อการเกิดเมตตาจิต
เมื่อใจเรามีเมตตา จิตใจก็จะสงบ มีความสุข ไม่ต้องคิดเรียกร้อง
ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ ความรัก จากใครอีกต่อไป พ่อแม่
ไม่รักเรา ลูกหลานไม่รักเรา สามีภรรยาไม่รักเรา ปัญหาเหล่านี้ก็หมดไป
เพราะหัวใจของเราเต็มไปด้
• พรหมวิหาร 4 •
คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นธรรมประจำใจของผู้ใหญ่
เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีต่อผู้อื่นและตัวเอง ใครที่
อดอยากทุกข์ยากลำบาก ด้อยกว่าเรา เราอยากให้เขามีความสุข
ด้วยการให้ทาน ช่วยเหลือสงเคราะห์เขา เมื่อเขามีความสุขเราก็มี
ความสุขด้วย แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เช่น หมา แมว กำลังอดๆ
หิวข้าวอยู่ เราก็ให้อาหาร เขาก็มีความสุขในการกิน เราก็มี
ความสุข แต่ก็ต้องระวังเหมือนกัน ถ้าเราตามใจลูกหลาน
เขาอาจพอใจ แต่เสียนิสัยก็เป็นได้ ต้องระวัง
พรหมวิหาร มี 4 ข้อ แต่ต้องเจริญเมตตาก่อน ไม่มีเมตตา กรุณามีไม่ได้
ไม่มีกรุณา มุทิตา อุเบกขาก็มีไม่ได้ การเจริญเมตตาง่ายกว่าข้ออื่นทุ
กรุณา คือ มีจิตใจสงสาร อยากให้เขาพ้นทุกข์ เป็นจิตที่สูงกว่า
และยากกว่าเมตตา เป็นความปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ รู้จักผิดถูก
เมื่อเขาทำผิดต้องชี้แจง แนะนำ สั่งสอน เพื่อให้เขาละความชั่ว
ความผิด แก้ไขตัวเอง อันนี้เราต้องมีจิตใจกล้าหาญ ถ้าใจดีแต่ใจ
อ่อนก็ทำไม่ได้ เพราะเราเจตนาดีแต่เขาอาจจะไม่
กระทบกระเทือนใจเขา เขาอาจจะโกรธเรา
พ่อแม่ที่เมตตารักลูกก็มีแยะ แต่คนที่มีกรุณาก็น้อย เพราะต้องดุ
ต้องว่า ต้องสอน บางทีก็ต้องลงโทษด้วย นี่เป็นกรุณา
มุทิตา คือ พลอยยินดีเมื่อเขาได้ดีมีความสุ
กรุณาอีก เขาได้ดีกว่าเรา เราไม่อิจฉา ยินดีมีความสุขกับเขาด้วย
เช่น เพื่อนรุ่นเดียวกับเราเรียนเก่
ตำแหน่งก็ได้สูงกว่าเรา ภรรยาของเขาสวยกว่าภรรยาเรา
เรารู้สึกว่าเขาดีกว่าเรา มีความสุขกว่าเรา อะไรๆ ก็ดีกว่าเราทุกอย่าง
(จริงๆ แล้วไม่แน่) แต่เรายินดีกับเขาด้วย อันนี้เป็นมุทิตาจิต
มุทิตาจิตนี้ละเอียด ทำยาก ขนาด พระ ครูบาอาจารย์ ที่มีเมตตา กรุณามาก
แต่มุทิตาจิตนี้ก็มียาก มุทิตาจิต เป็นจิตที่ไม่อิจฉา สูงกว่ากรุณา และทำยากกว่า
อุเบกขา วางเฉยนี้ยิ่งยากกว่ามุทิตาจิ
นินทาก็ไม่ให้หวั่นไหว รักษาใจเป็นกลาง เฉยๆ ต้องเข้าใจกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ต้องเข้าใจเรื่อง
เหตุผลและเหตุปัจจัย ต้องมีปัญญา จึงจะเกิดอุเบกขาได้ เช่น
ลูกติดยาเสพติด พ่อแม่ก็ต้องทำใจอุเบกขา เพราะเราได้ทำดีที่สุดแล้ว
อุเบกขา ต้องประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา
จึงจะเป็นอุเบกขาจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น